ss

29 ธ.ค. 2555

วิธีการเลือกจักรยานทัวร์ริ่งให้เหมาะสมกับตัวเรา

|1 ความคิดเห็น
จักรยานทัวร์ริ่งหากจะเลือกซื้อต้องถามตัวเองก่อนว่า เราจะนำไปใช้ในรูปแบบใด หากเราจะนำไปใช้ในการขี่ท่องเที่ยวจริงๆ เช่นใช้เดินทางท่องเที่ยวเหมือนฟรั่งที่เขาปั่นจักรยานกันแบบข้ามประเทศ หรือหากเป็นเราๆ ท่านๆ อาจจะแค่เดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาว ระยะทางอาจจะไม่ไกลมากอาจจะแค่ขี่ข้ามอำเภอ หรือข้ามจังหวัดไปหาที่ตั้งแคมป์เพื่อสัมผัสธรรมชาติอะไรทำนองนี้

จักรยานทัวร์ริ่ง

สิ่งที่ควรนำมาประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อจักรยานทัวร์ริ่งมีดังนี้ครับ

    ขี่จักรยานทัวร์ริ่งเที่ยว
    ตะเกียบจักรยานท่องเที่ยว
  1. งบประมาณในการเลือกซื้อจักรยาน ซึ่งมันเป็นตัวกำหนดเลยครับว่าเราจะได้รถตามแบบที่เราต้องการหรือเปล่า เช่น ถ้าเราต้องการจักรยานทัวร์ริ่ง ยี่ห้อดังๆ อะไหล่ระดับ Shimano Dura Ace แต่เรามีงบ 20,000 บาท อันนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ แต่เดี๋ยวก่อน!! ใช่ว่าหากคุณมีงบประมาณตามนี้แล้วคุณจะหารถดีๆ มาขี่ไม่ได้นะครับ รถดีๆ แต่ราคาไม่แพงก็มีครับอยู่ที่เราจะเลือกเป็นหรือเปล่าครับ

  2. จักรยานประเภทนี้ต้องขี่สบายไม่ปวดเมื่อยง่ายๆ เพราะเราต้องใช้เวลาอยู่บน จักรยานนานมากๆ ครับ ไม่มีจักรยานคันไหน ที่จะมี Size พอดีกับเราเปะหลอกครับ คือเราต้องปรับตัวเข้ากับจักรยานให้ได้ครับ แต่จักรยานที่ดี ควรทำให้ผู้ขี่มีการปรับตัวให้เข้ากับจักรยานน้อยที่สุดครับ เช่น ปรับแฮนด์, ปรับ Stem หรือ อาจจะปรับเบาะนั่งแค่นิดหน่อย ก็ขี่สบายแล้วครับ

  3. จักรยานทัวร์ริ่งยี่ห้อ bruc gordon
     จักรยานประเภทนี้ต้องเป็นจักรยานที่ทำให้เราเสียพลังงานน้อยที่สุดใน การกดบรรไดจักรยานแต่ละครั้ง เพราะเราต้องขี่มันเป็นระยะทางไกลๆ หลายร้อยกิโลเมตรดังนั้นจักรยานประเภทนี้ต้องมีความลื่นไหล ของอุปกรณ์ต่างๆ เช่นดุมล้อ, โซ่ และกระโหลกจานเป็นต้น แต่ไม่จำเป็นต้องหาอะไหล่ที่ราคาแพงมากๆ มาใส่ก็ได้ครับอะไหล่ราคาปานกลางก็ไหลลื่นได้ครับหากเลือกซื้อเป็น ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ เมื่อก่อนผมประกอบจักรยานเสือหมอบคันแรกของผม กระโหลกจักรยานผมต้องเรียงเม็ดลูกปืนเอง แต่ยอมรับเลยครับว่ามันลื่นมากๆ ผมว่ามันลื่นกว่าแบบแบริ่งอีกนะครับแถมทน และบำรุงรักษาง่ายกว่าอีกด้วย ดุมล้อก็เช่นกันครับ อีกประการหนึ่งหากต้องการความสบายในการจับแฮนด์ก็ควรหาที่รองผ้าพันแฮนด์มารองก่อนพัน ผ้าพันแฮนด์ สรุปคือ เอาแบบเราขี่แล้วสบายที่สุดครับ

  4. ในส่วนของเฟรมจักรยานทัวร์ริ่ง โดยส่วนตัวแล้วผมชอบแบบโครโมลี่ (ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างเหล็กและโมลิบดีนั่ม) ครับเพราะขี่ได้นุ่มนวลกว่า แต่มันจะออกตัวช้าบ้างก็ไม่เป็นไรครับ แต่เมื่อทำความเร็วได้คงที่แล้ว ผู้ขี่จะออกแรงในการปั่นน้อยกว่า เฟรมแบบอลูมิเนียมครับ ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของเรา คือปั่นระยะทางไกลๆ แต่ใช้แรงอย่างประหยัดครับ แต่ข้อเสียของเฟรมแบบโครโมลี่ก็มีนะครับ เช่นดูแลยากเพราะมันขึ้นสนิมได้ครับ และอีกอย่างครับ เวลาขึ้นเนินเขาเราต้องออกแรงเยอะกว่าเฟรมแบบอลูมิเนียมครับ แต่โดยรวมในความคิดของผมก็ยังชอบเฟรมแบบโครโมลี่ มากกว่าอลูมิเนียมครับ แต่ยังไงแล้วก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่จะซื้อด้วยครับ ว่าชอบแบบไหน ชอบขี่ทางเรียบเยอะๆ ก็โครโมลี่ แต่หากชอบทางที่เป็นเนินเขาเยอะๆ ก็เลือกอลูมิเนียมครับ

  5. ในส่วนของแร็คและบังโคลน ผมถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจักรยานทัวร์ริ่งครับ เจ้าแร็คนี้จะช่วยให้เราบรรทุกของที่จำเป็นในการเดินทาง และอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ ในการดำรงชีวิต เช่นถุงนอน หรือเต้น ส่วนบังโคลนประโยชน์ของมันคือเวลาเราปั่นไปเจอทางเปียก หรือฝนตกมันจะกันสิ่งสกปรกดีดขึ้นมาใส่เสื้อผ้าเราได้ และยังทำให้รถของเราไม่สกปรกมากเวลาเจอทางที่เป็นโคลนเยอะๆ ครับ
    แร็คหลังจักรยานทัวร์ริ่ง

    กันโคลนจักรยาน

  6. แฮนด์จักรยานทัวร์ริ่ง ที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะมีสองแบบ คือแบบตรงคล้ายๆ ของจักรยานเสือภูเขา และแบบ Drop ก็แบบเสือหมอบครับ หากคุณจะใช้เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวจริงๆ ผมแนะนำ แบบ Drop ครับเพราะเราสามารถเปลี่ยนการจับแฮนด์ได้หลายแบบ เช่น จับบน, จับล่าง, จับข้าง หรือ จะจับตรงส่วนเบรค มันจะช่วยลดอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดีครับ
    Stem สำหรับจักรยานทัวร์ริ่ง

  7. ทางด้านล้อจักรยานประเภทนี้ที่นิยนกันก็จะมี 2 Size ครับคือ ขนาด 26 นิ้ว และ ขนาด 700c ซึ่งขนาด 26 นิ้วเวลาเราขี่จะมีความนิ่ง และไม่วอกแวก เพราะวงล้อมันเล็กกว่าขนาด 700c ครับ

  8. เฟืองหลังจักรยาน
     ในส่วนของ ระบบเกียร์จักรยาน ในปัจจุบันจำนวนเกียร์ในรถจักรยานจะเยอะมากครับ จากเมื่อก่อนตอนผมปั่นจักรยานใหม่ๆ รถผมมีแค่ 12 Speed เองครับ คือจานหน้า 2 ใบ เฟืองหลังแค่ 6 ใบ เรื่องความทนทานไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะโซ่จักรยานเสือหมอบตอนนั้น ใหญ่พอๆ กับโซ่จักรยาน BMX  เลยละครับ ปัญหาโซ่ขาดหรือหมดสภาพเร็ว แทบจะไม่เจอเลยครับ แต่ในปัจจุบัน เฟืองหลังของผมใช้อยู่ 10 ใบผมยังใช้ไม่ครบเลยครับ รุ่นใหม่ๆ ยังจะออกมา 11 ใบอีก ผมบอกเลยครับ ไม่ได้กินเงินผมหลอกครับ ผมว่ามันไร้สาระครับ อีกทั้งความทนทานก็แย่ ปรับแต่งเกียร์ก็ยาก ผมว่าปัญหามันมากกว่าประโยชน์ครับ ในความคิดของผมไม่คุ้มครับหากใครที่หลวมตัวซื้อมาใช้แล้วจะรู้ครับ ในความคิดของผมนะครับ เฟืองหลัง 7 ใบกำลังดีครับ เพราะขนาดโซ่ที่ใช้จะไม่เล็กมากครับ ซึ่งมันจะทนทานกว่าหากเรานำมาใส่กับจักรยานประเภททัวร์ริ่ง

จักรยานทัวร์ริ่ง ของ TREK
ซึ่งจากการที่ผมได้ไปหาข้อมูลทางด้านราคาของจักรยานประเภทนี้มาแล้วนั้น ส่วนใหญ่ร้านจำหน่ายจักรยานในบ้านเราจะไม่ค่อยสต็อคสินค้าใว้ครับ อาจจะด้วยเหตุที่ว่าจักรยานทัวร์ริ่งในบ้านเรายังไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันมาก เหมือนเมืองนอก หากมีสต็อคไว้ก็จะไม่มากแค่ 1 - 2 คันหากเราไปหาซื้ออาจจะไม่ได้ตาม Size ที่เราต้องการ ในบ้านเรายี่ห้อดังๆ ราคาก็จะตกอยู่ประมาณ 40,000 บาท ขึ้นไปครับ ยกตัวอย่างเช่น TREK 520 2011 ราคาอยู่ที่ประมาณ 49,000 บาท หากใครที่พอมีกำลังซื้อก็จัดไปครับ แต่หากเป็นผม ผมจะซื้อแบบ ไม่คำนึงถึงยี่ห้อครับ ขอให้คุณภาพดีก็พอครับ (สำหรับผู้ที่พอมีความรู้ในการเลือกอะไหล่ นะครับ) สำหรับรถที่ราคาไม่แพงมากก็เช่น ยี่ห้อ MASI ตัวถังเป็นโครโมลี่ ล้อ 700C ราคา 19,000 - 22,000 บาท หากมือสองจากญี่ปุ่นยี่ห้อไม่เคยได้ยินมาก่อนราคา ก็จะอยู่ประมาณ 6,000 - 10,000 บาท หากเกินนี้ผมคิดว่าซื้อใหม่ดีกว่าครับ ลองหาดูตามเว็บประกาศ ต่างๆ ดูครับ แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ควรซื้อใหม่ดีกว่าครับหากจะเล่นมือสองควรเป็นคนที่มีความรู้ และศึกษามาพอสมควรมิเช่นนั้นอาจถูกหลอกได้ครับ เพราะเดี๋ยวนี้พวก มิจฉาชีพ หากกินตามบอร์ดประกาศเยอะมากครับ ทั้งหลอกให้โอนเงิน เอาสินค้าของคนอื่นมาโพสแล้วบอกว่าของเป็นของตัวเองแล้วเอาราคาถูกมาล่อใจ อะไรแบบนี้ครับ หากไม่มั่นใจอย่าโอนเงินเด็ดขาดครับ จักรยานไม่ใช่ราคาหลักร้อย ทางที่ดีไปซื้อที่ร้านที่เราไว้ใจได้เลยครับปลอดภัยสุดๆ ครับ
เสือภูเขาดัดแปลงเป็นจักรยานทัวร์ริ่ง
ผมแนะนำอีกอย่างนะครับ สำหรับผู้ที่ต้องการ จักรยานทัวร์ริ่ง หากจะนำมาใช้จริงๆ และออกทริปเป็นประจำ ควรดูอะไหล่ด้วยว่าสามารถซ่อมบำรุงได้ง่ายหรือเปล่า คือสามารถถอดออกมาซ่อมบำรุงโดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือ พิเศษ พิสดาร อะไรมากมาย ครับ แค่เครื่องมือซ่อมบำรุงพื่นฐานก็ซ่อมได้ยิ่งดีครับ เหตุผลเพราะเวลาเราออกทริปไกลๆ เช่น กรุงเทพ - เชียงใหม่ คงไม่มีใครอยากแบกเครื่องมือซ่อมบำรุงจักรยานชุดใหญ่ไปนะครับ เพราะหากปั่นทางเรียบก็ไม่เท่าไหร่หลอกครับ แต่หากไปถึงเส้นทาง ระหว่าง เถิน ถึงเชียงใหม่แล้วคุณแทบอยากจะทิ้งสัมภาระ ที่บรรทุกมาหมดเลยครับ เพราะจะมีทางขึ้นเขาเยอะมากครับ

สิ่งที่ผมได้เขียนบรรยายมาข้างบนนั้นก็เพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับใครที่ กำลังมองหาจักรยานทัวร์ริ่ง สักคันแต่ประเด็นหลักแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยว่าต้องการจะนำไปใช้ใน การเดินทางไกลจริงๆ หรือเปล่าหากต้องการแค่ ใช้ปั่นเล่นเฉยๆ อันนี้ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนักครับ หากเรามีตังก็ซื้อมาใช้ได้เลยครับ แต่หากเราจะนำไปใช้เพื่อเดินทางท่องเที่ยวจริงๆ อันนี้ต้องละเอียดในการเลือกซื้อหน่อยก็ดีครับ ขอบคุณครับ


ขอบคุณบทความจาก www.thbike.blogspot.com

การขี่จักรยานช่วยให้เมืองเย็นขึ้น

|0 ความคิดเห็น

นครและเมืองต่างๆครอบคลุมพื้นที่เพียงร้อยละ 2 ของพื้นที่โลกทั้งหมด แต่รับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ถึงร้อยละ 70 ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ขณะนี้มนุษย์เราร้อยละ 59 อาศัยอยู่ในเขตเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา ร้อยละ 81 ของประชากรเป็นชาวเมือง และตัวเลขเหล่านี้กำลังสูงขึ้นทุกวัน
จักรยาน

ถึงแม้เมืองจะเป็นแหล่งหลักที่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง “เมืองก็ยังเป็นสถานที่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย” โจแอน คลอส ผู้อำนวยการ UN-Habitat กล่าว “เราสามารถที่จะทำให้เมืองร้อนๆของเราเย็นลงได้อีกด้วยการวางแผนเมืองให้ดีขึ้นและการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น”
ประโยชน์ที่ได้นั้นความจริงมากไปกว่าการลดความเสี่ยงที่เกิดจากสภาวะโลก ร้อน เมืองที่ได้รับการออกแบบมาให้ “คน” มากกว่า “รถยนต์” เป็นสถานที่ที่น่าอยู่อาศัยโดยมีระดับมลพิษต่ำ การจราจรติดขัดน้อย มีสวนสาธารณะและพื้นที่สาธารณะอื่นๆมากขึ้น มีโอกาสดีขึ้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีพลเมืองที่มีสุขภาพดีกว่า
การจะทำให้เมืองน่าอยู่มากขึ้นโดยมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ต้องทำหลายอย่าง เช่น การผลิตอาหารเองเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศมากๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของอาคาร เพิ่มความหนาแน่นของประชากร ลงทุนในขนส่งมวลชน และลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว
วันนี้ที่กลางวันยาวขึ้นและต้นไม้ผลิดอกบานสะพรั่งทำให้นครแวนคูเวอร์ที่ ผมอาศัยอยู่สว่างไสวขึ้น ใจผมหวนคิดถึงความสุขจากการขี่จักรยาน ถึงแม้ว่าการเอาคนออกจากรถยนต์มาปั่นจักรยานจะไม่ได้แก้ปัญหาภูมิอากาศและ ปัญหามลพิษไปเสียทั้งหมด และการขี่จักรยานไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ แต่ยิ่งคนปั่นจักรยานกันมากเท่าใด เราทุกคนก็จะดีขึ้นเท่านั้น การปั่นจักรยานยังเป็นวิธียอดยี่ยมในการรักษาหุ่นและทำให้การเดินทางรื่นรมย์ และมักจะเร็วกว่าการใช้พาหนะอื่นด้วย
ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษที่การประชุมจักรยานนานาชาติ Velo-city Global จะมาจัดที่เมืองแวนคูเวอร์ในระหว่างวันที่ 26-29 มิถุนายน คาดกันว่าจะมีผู้วางแผนจราจร ผู้ผลักดันการใช้จักรยาน สถาปนิก นักการศึกษา นักการเมือง ฯลฯ ราว 1,000 คนจากทั่วโลก “มาแบ่งปันวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างและดูแลรักษาเมืองที่เป็นมิตรกับ จักรยาน ที่ซึ่งมีการให้คุณค่าจักรยานว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางประจำวันและสัน ทนาการ”
กิล เพนาโลซ่า ซึ่งจะเป็นผู้เปิดและปิดการประชุม กล่าวว่าแวนคูเวอร์ทำอะไรมากมายให้การขี่จักรยาน แต่ก็ “ยังไม่ยิ่งใหญ่” เพนาโลซ่า ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของ 8-80 Cities องค์กรไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่งในประเทศคานาดา และอดีตกรรมาธิการสวนสาธารณะ กีฬา และสันทนาการ ของนครโบโกต้า ประเทศโคลอมเบีย เชื่อว่าชาวเมืองในทวีปอเมริกาเหนือสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากชาวยุโรปใน เรื่องการกระตุ้นคนให้ขี่จักรยาน
“แม้ในยุโรป โครงสร้างพื้นฐานสำหรับจักรยานก็เพิ่งมาทำกันเอาในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานี่ เอง และมันมิได้เกิดมาจากอุบัติเหตุด้วย” นายเพนาโลซ่ากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสมาพันธ์นักจักรยานยุโรป (European Cyclists’ Federation) โดยตั้งข้อสังเกตว่า ในนครอัมสเตอร์ดัม โครงสร้างพื้นฐานสำหรับจักรยานและอัตราการใช้จักรยานมาเพิ่มขึ้นก็หลังจากที่ชาวเมืองออกมารณรงค์อย่างแข็งขัน เขายังกล่าวด้วยว่าการวางแผนที่เป็นมิตรกับจักรยานสามารถจะเสริมระบบระบบขนส่งมวลชนที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ขั้นตอนหนึ่งที่ควรทำแต่แรกๆคือการลดความเร็วของการจราจรในท้องถิ่น “มันขัดกันจริงๆ” เพนาโลซ่ากล่าว “คนอยากจำกัดความเร็วของยานพาหนะต่างๆในย่านที่ตนอยู่อาศัยไว้ที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่พอไม่ใช่ย่านที่พวกเขาอยู่อาศัย พวกเขากลับอยากไปเร็วๆ”
การลดความเร็วจะช่วยชีวิตคนไว้ได้ด้วย จากข้อมูลของสภาความปลอดภัยการขนส่งยุโรป (European Transport Safety Council) ถ้าคุณถูกรถชนด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณมีโอกาสตายร้อยละ 5 แต่ที่ความเร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณมีโอกาสรอดเพียงร้อยละ 5
ขั้นตอนต่อไปในการกระตุ้นให้คนออกมาขี่จักรยานกันคือสิ่งที่นครแวนคูเวอร์กำลังจะทำ “คุณต้องมีทางจักรยานที่แยกออกมาต่างหากจากถนน และคุณต้องการมากกว่าทางจักรยานที่แยกจากถนนสักเส้นหนึ่ง คุณต้องการทางจักรยานเช่นนั้นเป็นเครือข่ายเลยทีเดียว” เพนาโลซ่ากล่าว
สมาพันธ์นักจักรยานยุโรปกล่าวว่า การจัดให้มีทางจักรยานที่แยกต่างหากบนถนนสายหลักและถนนที่มีจราจรคับคั่ง อื่นๆ ในเขตเมืองไม่ใช่งานใหญ่อย่างที่หลายคนคาด เนื่องจากทั่วๆไปแล้วถนนเหล่านี้มักจะเป็นเพียงราวร้อยละ 5-10 ของภูมิประเทศเมืองเท่านั้น
ผมหวังว่าการประชุมเวโลซิตี้โลกจะทำให้คนจำนวนมากขึ้นในแวนคูเวอร์และที่ อื่นๆตื่นเต้นกับจักรยาน คนที่ขี่อยู่แล้วรู้ว่าเหตุผลที่ดีที่สุดประการหนึ่งในการที่พวกเขาเลือกขี่จักรยานคือมันสนุก มันดีกับคุณด้วย การขี่จักรยานเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพได้หลายด้าน จากโรคอ้วนไปจนถึงโรคหัวใจและโรคเครียด ดังนั้นมันจึงช่วยเศรษฐกิจของชาติด้วยจากการที่รัฐลดค่าใช้จ่ายในการดูแล สุขภาพให้ประชาชนโดยรวม การที่การขี่จักรยานมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ และการที่จักรยานสามารถทำให้เมืองเป็นสถานที่ที่น่าอยู่มากขึ้นเป็นเหตุผล อีกสองข้อที่คุณควรจะขี่จักรยานทุกโอกาสที่คุณทำได้
ที่มา www.thaicyclingclub.org
กวิน ชุติมา เรียบเรียงแปลจาก “Bicycling helps make cities cool”
เขียนโดย David Suzuki (with contributions from David Suzuki Foundation Editorial and Communications Specialist Ian Hanington)
ในเว็บไซต์ของ David Suzuki Foundation, March 15, 2012

5 เทคนิคที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพนักปั่นจักรยาน

|0 ความคิดเห็น
5 เทคนิคที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพนักปั่นจักรยาน

จักรยาน

เทคนิคต่าง ๆ ที่ผมจะนำเสนอนี้ ถึงแม้มันจะไม่ใช่เป็นวิธีการฝึกซ้อมโดยตรง แต่มันจะเป็นแนวทางเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่คุณควรกระทำ ถ้าหากคุณคิดว่าคุณจะเป็นนักปั่นจักรยานที่ประสบความสำเร็จแล้วละก็ คุณควรปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ในขั้นตอนการฝึกซ้อมของคุณ ถ้าคุณสามารถปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้แล้วนั้นแน่ใจได้เลยว่า คุณจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการปั่นจักรยานของคุณขึ้นอย่างรวดเร็วเลยละครับ

1. ทุกครั้งที่คุณออกไปฝึกซ้อมคุณควรมีเป้าหมาย
คือในการที่คุณจะออกไปฝึกซ้อมปั่นจักรยานในแต่ละครั้งคุณควรมีเป้าหมายว่าวันนี้คุณจะออกไปฝึกซ้อมแบบไหน หรือปรับปรุงในส่วนใหนที่คุณ ขาดไปหรือ ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยของคุณ เพื่อที่จะทำให้คุณมีความสามารถในการปั่นจักรยานเพิ่มขึ้น อย่างเช่น วันนี้คุณ จะออกไปปั่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ คุณควรจะเสริมหรือเพิ่มทักษะด้านการควบคุมรถจักรยาน เช่น การฝึกการเข้าโค้ง, ความคร่องตัวในการหลบหลีกเมื่อเจอเหตุการคับขันเป็นต้น คุณไม่ควรมุ่งเน้นการฝึกความแข็งแรงในวันดังกล่าว
โดยทั่วไปแล้วนักปั่นจักรยาน ที่ประสบความสำเร็จนั้นเขาจะสนุกกับการฝึกซ้อม และหนึ่งในทักษะที่ดีที่สุดของเขาคือ ด้านเทคนิคของการขี่จักรยานซึ่งจะทำให้การฝึกซ้อมมีรสชาติไม่น่าเบื่อ

2. กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น
ถ้าคุณทำการฝึกซ้อมที่ไม่ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นคุณควรพยายามกำจัดสิ่งนั้นออกจากการฝึกซ้อมจักรยานของคุณ และทำการเพิ่มเติมของการฝึกซ้อมในสิ่งที่จะนำคุณเข้าใกล้ไปเป้าหมายของคุณมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณลดเวลาในการฝึกซ้อมลง และ คุณเพิ่มความตั้งใจ และความเข้มข้นในการฝึกซ้อมเข้าไปด้วยระยะเวลาที่สั้นลง มันจะทำให้ง่ายต่อการทำให้การฝึกซ้อมของคุณเสร็จสมบูรณ์ ตามที่คุณได้วางแผนไว้ หรืออาจจะใช้เวลาเพิ่มเติมในการฝึกซ้อมจักรยานในส่วนที่จะช่วยให้คุณเข้าถึงเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้

3. มีทัศนคติที่ดีต่อคำวิจารณ์ของคนอื่น
คำวิจารณ์หรือ การตำหนิของคนอื่นเมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามแบบที่คุณชอบ คุณกำลังมีทัศนคติที่เป็นค่าลบที่จะไม่สามารถช่วยคุณเขาใกล้กับเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ ดังนั้นจงมีทัศนคติที่เป็นบวกเกี่ยวกับความรับผิดชอบและ ทำการถ่ายทอดทัศนคตินั้น เป็นความรู้แก่คนทั่วไป และมันทำให้คุณรู้สึกดีอย่างแน่นอน เมื่อคุณมีความรับผิดชอบ คุณจะบรรลุผลสำเร็จเพิ่มเติมเป็นจำนวนมากเนื่องจากการถ่ายทอดทัศนคติด้านบวก ตัวอย่างเช่น จะดีมากถ้าคุณจะไม่พยายามอยากรู้ว่าทำไมกลุ่มคนในการปั่นจักรยานของคุณทำไมน้อยกว่ากลุ่มของคนอื่นจงคิดว่าที่กลุ่มเรามีสมาชิกน้อยนั้นจะทำให้ดูแลกันง่ายและทั่วถึง ดีกว่าไปคิดกับกลุ่มอื่นทางด้านลบ

4. จงเชื่อฟังโค้ชมืออาชีพ หรือผู้ที่ทำการฝึกสอนคุณอยู่
โค้ชมืออาชีพสามารถพัฒนาแผนการฝึกซ้อมของคุณให้ดีขึ้น และช่วยให้คุณไปถึงศักยภาพสูงสุดของคุณเท่าที่ร่างกายคุณจะรับได้โค้ชมืออาชีพทั้งหลายรู้ว่าสรีรร่างกายของแต่ละคนสามารถทำการฝึกซ้อมแบบใหนถึงจะดีที่สุด และนักกีฬาจักรยานคนใหนควรขี่จักรยานแข่งขันประเภทใหนถึงจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นโค้ชมืออาชีพจะมี เคล็ดลับในการฝึกซ้อม และการออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมให้มีความแตกต่างระหว่างสรีรวิทยาของนักกีฬาแต่ละคน ดังนั้นเมื่อคุณมีรถโค้ชจักรยานที่ดีแล้วคุณควรเชื่อฟังโค้ชผู้นั้น ซึ่งช่วยให้คุณฝึกซ้อมตามกำหนดเวลา และตารางการฝึกซ้อมที่ดีและเหมาะสมแก่ตัวคุณ ทั้งหมดนี้คือประโยชน์จากการมีโค้ชหรือ ผู้ให้คำปรึกษาในการฝึกซ้อมเพื่อเป็นนักปั่นจักรยานที่ประสบความสำเร็จในอนาคต

5. หมั่นหาความรู้จากบทความและหนังสือเกี่ยวกับจักรยาน
และนี่ก็เป็นอีกวิธีดีที่สุดต่อพัฒนาการในการปั่นจักรยานของคุณ คุณมักจะได้แรงบันดาลใจจากนักปั่นจักรยานคนอื่นๆ ที่เขามีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันมากมายในการไปถึงประสิทธิภาพสูงสุดของการขี่จักรยาน และ นักปั่นส่วนใหญ่จะใช้ประการณ์ที่สั่งสมมานานของตนเอง แล้วมาเขียนเป็นหนังสือบอกเล่าเทคนิคต่างๆ ที่เขาทำและสามารถประสบความสำเร็จจากเทคนิคนั้น ดังนั้นเราจึงสามารถ หาความรู้จากหนังสือต่างๆ เหล่านี้ เพื่อมาปรับปรุงการขี่ของเราให้ดีขึ้นได้ ยิ่งอ่านมากเท่าใหล่ตัวเราเองก็จะมีความรู้ และเทคนิคต่างๆ สะสมภายในตัวเราและจะทำให้เรามีประสบการณ์ และความรู้มากตามไปด้วยครับ

สิ่งสำคัญและโปรดจำไว้ว่า
เราไม่ได้รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับจักรยาน และไม่มีสูตรสมบูรณ์แบบตายตัวที่เหมาะสมกับทุกคน ดังนั้นคุณสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางการฝึกซ้อมที่ดีที่สุด และรวมสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในโปรแกรมการฝึกซ้อมจักรยานของคุณ ผมหวังว่า คุณจะใช้วิธีการแบบคล้ายคลึงกันนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุณกำลังค้นหาและมุ่งหวัง ขอบคุณครับ


ที่มา www.udonbikes.com/forum/index.php?topic=1774.0

Stanford University มหาวิทยาลัยจักรยาน

|0 ความคิดเห็น

มีข่าวเล็กๆ ใน Bikeradar เวปจักรยานของสื่อยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ กล่าวถึงมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอเมริกาหากใครไม่รู้จัก ก็ให้นึกถึงว่านี่คือมหาวิทยาลัยที่ไทเกอร์วู๊ด เคยเรียนหนังสือมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่เมือง Palo Alto ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
(ที่ตั้งของ สำนักงานใหญ่ Facebook และแหล่งกำเนิดบริษัทคอมพิวเตอร์ ฮิวเลตต์แพคการ์ด)
bike in Stanford University
ปีนี้ League of American Bicyclists ได้ประกาศ รายชื่อวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย จำนวน 20 แห่ง ทั่วอเมริกา ทั้งหมดนี้มีเพียง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ที่ได้รับรางวัลในระดับ Platinum ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด เกณฑ์การให้คะแนนของสถานศึกษา และเมืองจะเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย 5 แนวทาง ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิศวกรรม, การให้ความรู้แก่ประชาชน, การกระตุ้นให้ผู้อาศัยในเขตกระหนัก, การออกกฎหมายบังคับใช้ และการวางแผนอย่างเป็นระบบ
สแตนฟอร์ดได้เริ่มดำเนินการแผนงานด้านจักรยานตั้งแต่ปี 1891 หรือเมื่อยี่สิบปีก่อน ปัจจุบันมีผู้ใช้จักรยานในมหาวิทยาลัยต่อวันเฉลี่ย จำนวน 13,000 ราย Adriadne Scott ผู้รับผิดชอบงานด้านจักรยาน ของมหาวิทยาลัย (School's Bicycle Program Coordinator) ได้กล่าวว่า "ได้ดำเนินการทั้งกระตุ้น ปลุกเร้า ให้รางวัล และเสนอโปรแกรมต่างๆอย่างต่อเนื่องแกประชากรชาวมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ การให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัย สำหรับผู้ใช้จักรยาน"
bike in Stanford University
โปรแกรมหลักๆ ที่ดำเนินการ เช่น การให้การอบรมด้านความปลอดภัยในการใช้จักรยานเดือนละ 2 ครั้งโดยผู้เข้ารับการอบรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขายหมวกกันกระแทกในราคาพิเศษแก่สมาชิก ให้ผู้ที่ถูกโทษปรับเมื่อทำผิดกฎจราจรเข้ารับการฝึกอบรม แทนการเสียเงินค่าปรับซึ่งทำให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางเป็นมิตรต่อจักรยาน
นอกจากนี้ยังมีแผนงานที่ช่วยผู้ใช้จักรยานเป็นยานพาหนะสัญจร ได้รับสิทธิบางอย่างโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น มีที่จอดจักรยานที่ปลอดภัยไม่เสียเงิน มีโปรแกรมเพื่อนร่วมปั่น ให้ล๊อคเกอร์สำหรับเก็บจักรยานหรือเสื้อผ้าแก่ผู้ใช้ฟรี ๆ ชมรมจักรยานของมหาวิทยาลัย มีนักศึกษาเข้าร่วมเป็นสมาชิกในชมรมจักรยานมากกว่า 7,000 คน ซึ่งสมาชิกทั้งหมดได้แสดงเจตจำนงที่จะใช้จักรยานในการสัญจรไปมา แทนการใช้รถยนต์เป็นหลัก ผลที่เกิดขึ้นพิสูจน์ ได้ว่าประสบความสำเร็จ เมื่อดูจากตัวเลขรถยนต์ที่มีคนขับคนเดียวจะมีจำนวนลดลงจาก 72 % ในปี 2002เป็น 48 % ในปี 2010 และจำนวนผู้ใช้จักรยานเพื่อการสัญจรของมหาวิทยาลัยเพิ่มเป็นจำนวน 21.7 %
The League of American Bicyclist พยายามกระตุ้นเมือง ชุมชน แหล่งธุรกิจ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้เริ่มโปรแกรมจักรยานมากขึ้นทุกๆ ปี ซึ่งโปรแกรมสำหรับมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าหลายแห่งจะดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ก็ต้องเข้าไปชี้แนะวางแผนให้กว้างขวางและกระจายไปทั่วประเทศ เพื่อตัวชุมชน ผู้อาศัย หรือผู้มาเยือน ได้รับประโยชน์ทั่วหน้ากัน ยังมีมหาวิทยาลัยอีกสามแห่งใน California ที่ได้รับรางวัลพร้อมกันในปีนี้ในระดับ Gold คือ University of California at Davis, University of California at Santa Barbara และ California State Long Beach
bike in Stanford University
รัฐ California เป็นเขตที่มีสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการใช้จักรยาน ชุมชนหลายแห่งในรัฐ California ก็พัฒนาให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน Mega Cahill เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของ League of American Bicyclists ได้บอกไว้ รวมทั้งเสริมว่า มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้มีความพร้อมก่อนที่ League จะเริ่มโปรแกรมสำหรับมหาวิทยาลัย
ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นนอกแคลิฟอร์เนีย เช่น Colorado State University, Portland State University, University of Arizona, University of Oregon, University of Minnesota, Twin Cities, University of Washington และ University of Wisconsin at Madison ( ส่วนใหญ่อยู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกา (หากใครสนใจวัฒนธรรมของประชากรแถบ north-west ให้หาอ่านจากนิตยสารสารคดี ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงรากของการเป็นนักอนุรักษ์ ของคนแถบนี้ - ผู้แปล) )
Scott ได้ให้คำแนะนำเบื้องต้นแก่มหาวิทยาลัยอื่น ที่ต้องการดำเนินนโยบายด้านความเป็นมิตรกับจักรยานโดยทาง league ร่วมออกแบบแนวทางกับมหาวิทยาลัย โดยต้องอาศัยความร่วมมือกับหลายหน่วยงานภายใน เพื่อวางแผนอย่างที่สแตนฟอร์ดจะต้องร่วมมือกัน ตั้งแต่หน่วยงานพลังงาน หน่วยวางแผนเพื่อความปลอดภัย หน่วยแผนที่และบันทึก รวมทั้งหน่วยงานป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุของโรงเรียนแพทย์ เพื่อให้ทุกฝ่ายดำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน มีเป้าหมายร่วมกัน
การวัดเปรียบเทียบการดำเนินงาน หรือ Benchmarking กับแนวทางหลัก ที่เมืองที่ได้รับรางวัลดำเนินการ ถือเป็นแนวทางในการเริ่มต้นสำหรับเมืองเล็กๆ ในแต่ละท้องถิ่น ของประเทศต่างๆ ที่จะเลียนแบบแล้วไปออกแบบดำเนินการ โดยใช้ตัวชี้วัดที่มีมาวางเป็นเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้การพัฒนาทำได้ด้วยตัวเอง League of American Bicyclists ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดอันดับเมือง หรือ มหาวิทยาลัยต่างๆ ในอเมริกา โดยการตั้งเกณฑ์การให้คะแนนไว้ เมื่อสถานที่แห่งใดสามารถดำเนินการได้เข้าเกณฑ์ ก็จะได้รับการประกาศให้ได้รับรางวัล รางวัลที่ได้จะมีระดับของรางวัลตามคะแนนที่ได้รับ
นอกจากจะให้คะแนน เขาจะมีขั้นตอนวิธีในการทำงานที่กระตุ้น ส่งเสริม สนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้แต่ละสถานที่ดำเนินกิจกรรมไปให้ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ การประกาศคะแนนแบบนี้นอกจาก League แห่งนี้ นิตยสารบางฉบับ เช่น BICYCLING ก็ได้มีการประกาศ ส่งเสริมสนับสนุนด้วยเช่นกัน
ที่มา : ibikecafe.com

บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง