ss
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความพิเศษ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความพิเศษ แสดงบทความทั้งหมด

9 มี.ค. 2556

ดัดแปลงจักรยานของตัวเองให้กลายเป็นเครื่องดนตรี

|0 ความคิดเห็น
นักแสดงเปิดหมวกในลอนดอนชื่อ Daisy Dumas อายุ 38 ปีได้ดัดแปลงจักรยานของตัวเองให้กลายเป็นเครื่องดนตรีประเภทเคาะจังหวะครบเซ็ท ที่มีทั้งฉาบ กลองสแนร์และที่เคาะจังหวะด้วยเท้า


สาเหตุของการประดิษฐ์ดัดแปลงจักรยานครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากเขาต้องการเดินทางจากแอดิเลด ( Adelaide ) ประเทศออสเตรเลียไปลอนดอน เพื่อเข้าไทำงานเกี่ยวกับดนตรีแนว electronic แต่เนื่องจากเขาไม่ต้องการขนกลองขึ้น ๆ ลง ๆ รถไฟใต้ดินเวลาตระเวนเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ในลอนดอน เขาจึงคิดดัดแปลงรถจักรยานให้กลายเป็นกลอง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกทั้งในการขนย้ายเครื่อนดนตรี และยังเป็นยานพาหนะในการพาเขาไปที่ต่างๆได้ด้วย ในการดัดแปลงจักรยานให้กลายเป็นชุดกลองก็ทำง่ายๆ  ใช้เวลาโดยประมาณแค่ 20 นาทีเท่านั้นเอง และเนื่องจากความแปลกไม่เหมือนใครนี้เอง ที่ทำให้เขาสามารถหารายได้ได้เพียงพอกับค่ากินค่าอยู่ที่ต้องจ่าย ซึ่งเขากล่าวว่า " ทัวร์ครั้งแรกของผมคือที่ Brick Lane ซึ่งผมเปิดหมวกแสดงแค่วันละชั่วโมงในวันธรรมดาเท่านั้น แต่กลับสามารถหาเงินมาจ่ายค่าเช่าได้ทั้งอาทิตย์ ไม่อยากจะเชื่อเลย! " ทั้งนี้ Osborne ยังถูกเชิญให้ไปแสดงในงานเทศกาลดนตรีหลายแห่ง 




ที่มา http://xn--12cn0ch8bcd4im5p.blogspot.com/2012/10/blog-post_7968.html

ทำไมถึงปั่นจักรยานในกรุงเทพ ?

|0 ความคิดเห็น

ทำไมถึงปั่นจักรยานในกรุงเทพ
เคยเป็นไหมที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อจะไปนั่ง/ยืนหลับบนรถเมล์เพราะรถติดเคยเป็นไหม โบกแท๊กซี่ 10 คัน ไม่มีคันไหนยอมรับคุณไปส่งเคยเป็นไหมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างระยะทางไม่ไกลแต่พอถึงจุดหมายปลายทางแล้วต้องขอบคุณพนะเจ้าที่ทำให้มีชีวิตรอดผ่านจากการขี่มอเตอร์ไซค์วิบากเคยเป็นไหมใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางระยะทางแค่ 10 กิโลเมตร

ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาหลักของการจารจรในกรุงเทพที่ไม่มีใครหนีพ้น วันหนึ่งคิดเสียว่านั่งรถจากบ้านไป ที่ทำงานใช้เวลา 2 ชั่วโมง ไปกลับ 4 ชั่วโมง หนึ่งสัปดาห์คุณเสียเวลาไปแล้ว 24 ชั่วโมง แต่ละวันใช้เงินในการเดินทาง 50 บาท ไปทำงานหนึ่งวันหายไปแล้ว 100 บาท หนึ่งสัปดาห์ หายไปแล้ว 600 บาท โอเค มันอาจดูไม่หนักหนาสาหัส แต่เวลาที่คุณเสียไป 24 ขั่วโมง มันสามารถเป็นเวลาที่คุณนอนหลับพักผ่อนต่อได้อีก หรือเงิน 600 บาทที่จ่ายไป เก็บหอมรอมริบเอาไว้ 4 สัปดาห์ก็มีเงินเพิ่มขึ้นแล้ว
ลองหันมาปั่นจักรยานดูดีไหม ระยะทางแค่ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเต็มที่ 40 นาที โอเค ไม่เถียงนะว่าปั่นจักรยานในกรุงเทพไม่น่ากลัว ปั่นมาแล้วทั่วประเทศไทย 8,700 กิโลเมตร ระยะทาง 20 กิโลเมตรสุดท้ายจากนนทบุรีเข้ากรุงเทพเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด ในทริปแล้ว แต่ถ้ามีคนเริ่ม เราก็เชื่อว่าคนที่สอง คนที่สามก็จะตามมา ถ้าคุณเอาแต่กลัว โลกนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การปั่นจักรยานช่วยคุณประหยัดค่ารถ ค่ามอเตอร์ไซค์ ค่าแท็กซี่ ค่าน้ำมัน และยังช่วยรักษาชีวิตคุณจากการนั่งรถ แท๊กซี่และมอเตอร์ไซค์วิบาก ช่วยรักษาอารมณ์ ไม่ให้อยากที่จะกระโดดถีบคนขับรถแท็กซี่ทุกคันที่ปฏิเสธคุณ ช่วยทำให้ร่างกายสุขภาพแข็งแรง ถ้าคนมาปั่นเยอะขึ้น ก็จะช่วยลดมลภาวะที่มีมากมายหลือเกินใน กทม สิ่งเดียวที่คุณเสียไปคือ เหงื่อ ที่ต่อมาก็จะตอบแทนกลับมาเป็นร่างกายที่แข็งแรง
ทำไมถึงต้องเป็นจักรยานพับ
ง่ายมาก เพราะจักรยานพับสามารถเอาขึ้น รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน แอร์พอร์ทลิงค์ และเอาลงเรือได้ด้วย จักรยานพับช่วยให้คุณเดินทางเร็วขึ้น หลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆที่กล่าวมาจากข้างต้น โดยส่วนตัวแล้วเราทำงานเป็นไกด์ จะให้ไปรับลูกค้าสภาพเหงื่อโทรมกายคงไม่ดี ก็ได้จักรยานพับนี้เองที่ช่วยพาเราจากบ้านไปสถานีรถไฟฟ้า แล้วก็จากรถไฟฟ้าไปโรงแรมลูกค้า วิธีนี้ช่วยทำให้เราเดินทางได้ไวขึ้นไม่ต้องห่วงว่าจะต้องต่อคิวยาวรอมอเตอร์ไซค์ กลางคืนกลับบ้าน ไม่ต้องห่วงว่ารถไฟฟ้าหมด หรือแท็กซี่งี่เง่าไม่รับ กระโดดขึ้นจักรยานคู่ใจแล้วก็ปั่นไปเลย อ๋อ อย่าลืมไฟด้วยนะ
ทำไมถึงเป็น strida
จริงๆแล้วจักรยานพับยี่ห้อไหนก็คล้ายๆกัน ขอให้มันพับได้ก็สามารถเอาขึ้นรถไฟได้แล้ว แต่ส่วนตัวได้ลองทดสอบพับมาหลายคัน มีความรู้สึกว่า Strida พับง่ายมาก พับแล้วเหลืออันนิดเดียว พับแล้วก็ยังสามารถลากไปมาได้เหมือนเดิม ไม่เทอะทะ ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่คนแออัดยัดเยียดในรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ไม่ต้องแปลกใจถ้าประตูเปิดมาแล้วเจอสายตาประมาณว่า “นี่หล่อนจะเอาเข้ามาจริงๆใช่ไหม” หรือไม่ก็ ‘อย่าเอาเข้ามานะ แค่นี้ก็เต็มแล้ว” ก็อย่าได้แคร์ ขนาดไซส์จักรยานคันนี้ถ้าพับแล้ว ขนาดบางกว่ารถเข็นเด็ก กระเป๋าเดินทาง และคนอ้วนบางคนอีก
แนะนำว่า ลองปั่นคันนี้ดูก่อนสักหนึ่งสัปดาห์ก่อนเอาลงสนามจริง เพราะแฮนด์แคบมากเมื่อเทียบกับจักรยานธรรมดา เลยทำให้การทรงตัวเวลาเลี้ยวค่อนข้างลำบากในระยะแรก ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ถ้าคุณปั่นแต่จักรยานธรรมดาที่แฮนด์กว้างมาตลอด เมื่อคุณมาเจอคันนี้ มันจะเหมือนเริ่มปั่นจักรยานใหม่เลย 555 แต่ไม่ต้องกลัวไม่นานเดี๋ยวก็ชินเอง บางครั้งปั่นจักรยานขึ้นหมอนบนถนน ช่วงแรกๆ ยังไม่ชิน เผลอยกล้อก็มี ดีนะที่ไม่ตก วิธีแก้ข้อนี้เวลาขึ้นหมอนให้กดแรงลงไปที่บาร์มันจะได้ไม่ยกล้อ คันนี้มีทั้งรุ่นมีเกียร์และไม่มี เกียร์ ราคาก็แตกต่างกันไป คันของเราเป็นแบบไม่มีเกียร์ ปั่นแล้วก็แอบแปลกๆ แต่อย่างว่าปั่นในกรุงเทพ ที่รถติดเป็นวิสัยอยู่แล้ว จะมีเกียร์ไป ก็คงไม่ได้ใช้ ข้อดีอีกหนึ่งข้อ ที่ชนะใจเราให้ซื้อมาคือระบบสายพาน ถ้าเป็นจักรยานทั่วไปก็จะเป็นระบบ โซ่ ซึ่งก็ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น ให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนขากางเกง หรือขาเราเองอยู่เป็นประจำ ระบบสายพาน ออกแบบมาให้ไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น เพราะฉะนั้นวางใจได้เลยว่าจะขากางเกงของคุณจะไม่เลอะเทอะแน่นอน
หลังจากที่ใช้มาแล้วเกือบสองเดือน เริ่มชินกับจักรยานคันนี้แล้ว ตอนซื้อมาเจ้าของร้านสาธิตวิธีการ พับให้ดู ไม่ถึง 15 วินาที พับเสร็จเตรียมเข็นได้เลย พอเราลองเอง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ผ่านไป 2 นาทีแล้ว ก็ยังไม่เสร็จ 555 ต้องกลับมาบ้านลองพับอีกรอบ ตอนนี้เซียนแล้ว เวลาพับที่รถไฟฟ้า หรือพับเก็บลงกระเป๋าที่โรงแรม จะต้องมีคนมาดูตลอดเวลา เหมือนเราเล่นกลให้เขาดู ครั้งแรกที่พับนี้ มาดูกันประมาณ 5 คนได้มั้ง อายจริงจัง เพราะยังพับไม่เก่ง อยากจะบอกทุกคนว่า เลิกดูได้ไหมคะ แรงกดดันมันเยอะเกิน เจ้าของร้านตอนที่ซื้อมาบอกว่า น้องปั่นมาไม่ว่าน้องจะเหงื่อแตกขนาดไหน มันไม่สำคัญเท่ากับน้องใช้เวลาพับนานขนาดไหน ถ้าน้องใช้เวลาพับเกิน 30 วินาที พี่แนะนำว่าหิ้วมันไปแบบนี้เลยเถอะ อายเขา 555 คำพูดนี้ยังจำมาจนถึงทุกวันนี้
Article and photos by Natt (ณัฐรีย์)

29 ธ.ค. 2555

การขี่จักรยานช่วยให้เมืองเย็นขึ้น

|0 ความคิดเห็น

นครและเมืองต่างๆครอบคลุมพื้นที่เพียงร้อยละ 2 ของพื้นที่โลกทั้งหมด แต่รับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน ถึงร้อยละ 70 ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ขณะนี้มนุษย์เราร้อยละ 59 อาศัยอยู่ในเขตเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา ร้อยละ 81 ของประชากรเป็นชาวเมือง และตัวเลขเหล่านี้กำลังสูงขึ้นทุกวัน
จักรยาน

ถึงแม้เมืองจะเป็นแหล่งหลักที่ปล่อยก๊าซที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง “เมืองก็ยังเป็นสถานที่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย” โจแอน คลอส ผู้อำนวยการ UN-Habitat กล่าว “เราสามารถที่จะทำให้เมืองร้อนๆของเราเย็นลงได้อีกด้วยการวางแผนเมืองให้ดีขึ้นและการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น”
ประโยชน์ที่ได้นั้นความจริงมากไปกว่าการลดความเสี่ยงที่เกิดจากสภาวะโลก ร้อน เมืองที่ได้รับการออกแบบมาให้ “คน” มากกว่า “รถยนต์” เป็นสถานที่ที่น่าอยู่อาศัยโดยมีระดับมลพิษต่ำ การจราจรติดขัดน้อย มีสวนสาธารณะและพื้นที่สาธารณะอื่นๆมากขึ้น มีโอกาสดีขึ้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีพลเมืองที่มีสุขภาพดีกว่า
การจะทำให้เมืองน่าอยู่มากขึ้นโดยมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ต้องทำหลายอย่าง เช่น การผลิตอาหารเองเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศมากๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของอาคาร เพิ่มความหนาแน่นของประชากร ลงทุนในขนส่งมวลชน และลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว
วันนี้ที่กลางวันยาวขึ้นและต้นไม้ผลิดอกบานสะพรั่งทำให้นครแวนคูเวอร์ที่ ผมอาศัยอยู่สว่างไสวขึ้น ใจผมหวนคิดถึงความสุขจากการขี่จักรยาน ถึงแม้ว่าการเอาคนออกจากรถยนต์มาปั่นจักรยานจะไม่ได้แก้ปัญหาภูมิอากาศและ ปัญหามลพิษไปเสียทั้งหมด และการขี่จักรยานไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ แต่ยิ่งคนปั่นจักรยานกันมากเท่าใด เราทุกคนก็จะดีขึ้นเท่านั้น การปั่นจักรยานยังเป็นวิธียอดยี่ยมในการรักษาหุ่นและทำให้การเดินทางรื่นรมย์ และมักจะเร็วกว่าการใช้พาหนะอื่นด้วย
ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษที่การประชุมจักรยานนานาชาติ Velo-city Global จะมาจัดที่เมืองแวนคูเวอร์ในระหว่างวันที่ 26-29 มิถุนายน คาดกันว่าจะมีผู้วางแผนจราจร ผู้ผลักดันการใช้จักรยาน สถาปนิก นักการศึกษา นักการเมือง ฯลฯ ราว 1,000 คนจากทั่วโลก “มาแบ่งปันวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างและดูแลรักษาเมืองที่เป็นมิตรกับ จักรยาน ที่ซึ่งมีการให้คุณค่าจักรยานว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางประจำวันและสัน ทนาการ”
กิล เพนาโลซ่า ซึ่งจะเป็นผู้เปิดและปิดการประชุม กล่าวว่าแวนคูเวอร์ทำอะไรมากมายให้การขี่จักรยาน แต่ก็ “ยังไม่ยิ่งใหญ่” เพนาโลซ่า ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของ 8-80 Cities องค์กรไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่งในประเทศคานาดา และอดีตกรรมาธิการสวนสาธารณะ กีฬา และสันทนาการ ของนครโบโกต้า ประเทศโคลอมเบีย เชื่อว่าชาวเมืองในทวีปอเมริกาเหนือสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากชาวยุโรปใน เรื่องการกระตุ้นคนให้ขี่จักรยาน
“แม้ในยุโรป โครงสร้างพื้นฐานสำหรับจักรยานก็เพิ่งมาทำกันเอาในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานี่ เอง และมันมิได้เกิดมาจากอุบัติเหตุด้วย” นายเพนาโลซ่ากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสมาพันธ์นักจักรยานยุโรป (European Cyclists’ Federation) โดยตั้งข้อสังเกตว่า ในนครอัมสเตอร์ดัม โครงสร้างพื้นฐานสำหรับจักรยานและอัตราการใช้จักรยานมาเพิ่มขึ้นก็หลังจากที่ชาวเมืองออกมารณรงค์อย่างแข็งขัน เขายังกล่าวด้วยว่าการวางแผนที่เป็นมิตรกับจักรยานสามารถจะเสริมระบบระบบขนส่งมวลชนที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ขั้นตอนหนึ่งที่ควรทำแต่แรกๆคือการลดความเร็วของการจราจรในท้องถิ่น “มันขัดกันจริงๆ” เพนาโลซ่ากล่าว “คนอยากจำกัดความเร็วของยานพาหนะต่างๆในย่านที่ตนอยู่อาศัยไว้ที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่พอไม่ใช่ย่านที่พวกเขาอยู่อาศัย พวกเขากลับอยากไปเร็วๆ”
การลดความเร็วจะช่วยชีวิตคนไว้ได้ด้วย จากข้อมูลของสภาความปลอดภัยการขนส่งยุโรป (European Transport Safety Council) ถ้าคุณถูกรถชนด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณมีโอกาสตายร้อยละ 5 แต่ที่ความเร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณมีโอกาสรอดเพียงร้อยละ 5
ขั้นตอนต่อไปในการกระตุ้นให้คนออกมาขี่จักรยานกันคือสิ่งที่นครแวนคูเวอร์กำลังจะทำ “คุณต้องมีทางจักรยานที่แยกออกมาต่างหากจากถนน และคุณต้องการมากกว่าทางจักรยานที่แยกจากถนนสักเส้นหนึ่ง คุณต้องการทางจักรยานเช่นนั้นเป็นเครือข่ายเลยทีเดียว” เพนาโลซ่ากล่าว
สมาพันธ์นักจักรยานยุโรปกล่าวว่า การจัดให้มีทางจักรยานที่แยกต่างหากบนถนนสายหลักและถนนที่มีจราจรคับคั่ง อื่นๆ ในเขตเมืองไม่ใช่งานใหญ่อย่างที่หลายคนคาด เนื่องจากทั่วๆไปแล้วถนนเหล่านี้มักจะเป็นเพียงราวร้อยละ 5-10 ของภูมิประเทศเมืองเท่านั้น
ผมหวังว่าการประชุมเวโลซิตี้โลกจะทำให้คนจำนวนมากขึ้นในแวนคูเวอร์และที่ อื่นๆตื่นเต้นกับจักรยาน คนที่ขี่อยู่แล้วรู้ว่าเหตุผลที่ดีที่สุดประการหนึ่งในการที่พวกเขาเลือกขี่จักรยานคือมันสนุก มันดีกับคุณด้วย การขี่จักรยานเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพได้หลายด้าน จากโรคอ้วนไปจนถึงโรคหัวใจและโรคเครียด ดังนั้นมันจึงช่วยเศรษฐกิจของชาติด้วยจากการที่รัฐลดค่าใช้จ่ายในการดูแล สุขภาพให้ประชาชนโดยรวม การที่การขี่จักรยานมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ และการที่จักรยานสามารถทำให้เมืองเป็นสถานที่ที่น่าอยู่มากขึ้นเป็นเหตุผล อีกสองข้อที่คุณควรจะขี่จักรยานทุกโอกาสที่คุณทำได้
ที่มา www.thaicyclingclub.org
กวิน ชุติมา เรียบเรียงแปลจาก “Bicycling helps make cities cool”
เขียนโดย David Suzuki (with contributions from David Suzuki Foundation Editorial and Communications Specialist Ian Hanington)
ในเว็บไซต์ของ David Suzuki Foundation, March 15, 2012

Stanford University มหาวิทยาลัยจักรยาน

|0 ความคิดเห็น

มีข่าวเล็กๆ ใน Bikeradar เวปจักรยานของสื่อยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ กล่าวถึงมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอเมริกาหากใครไม่รู้จัก ก็ให้นึกถึงว่านี่คือมหาวิทยาลัยที่ไทเกอร์วู๊ด เคยเรียนหนังสือมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ที่เมือง Palo Alto ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
(ที่ตั้งของ สำนักงานใหญ่ Facebook และแหล่งกำเนิดบริษัทคอมพิวเตอร์ ฮิวเลตต์แพคการ์ด)
bike in Stanford University
ปีนี้ League of American Bicyclists ได้ประกาศ รายชื่อวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย จำนวน 20 แห่ง ทั่วอเมริกา ทั้งหมดนี้มีเพียง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ที่ได้รับรางวัลในระดับ Platinum ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด เกณฑ์การให้คะแนนของสถานศึกษา และเมืองจะเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย 5 แนวทาง ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิศวกรรม, การให้ความรู้แก่ประชาชน, การกระตุ้นให้ผู้อาศัยในเขตกระหนัก, การออกกฎหมายบังคับใช้ และการวางแผนอย่างเป็นระบบ
สแตนฟอร์ดได้เริ่มดำเนินการแผนงานด้านจักรยานตั้งแต่ปี 1891 หรือเมื่อยี่สิบปีก่อน ปัจจุบันมีผู้ใช้จักรยานในมหาวิทยาลัยต่อวันเฉลี่ย จำนวน 13,000 ราย Adriadne Scott ผู้รับผิดชอบงานด้านจักรยาน ของมหาวิทยาลัย (School's Bicycle Program Coordinator) ได้กล่าวว่า "ได้ดำเนินการทั้งกระตุ้น ปลุกเร้า ให้รางวัล และเสนอโปรแกรมต่างๆอย่างต่อเนื่องแกประชากรชาวมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ การให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัย สำหรับผู้ใช้จักรยาน"
bike in Stanford University
โปรแกรมหลักๆ ที่ดำเนินการ เช่น การให้การอบรมด้านความปลอดภัยในการใช้จักรยานเดือนละ 2 ครั้งโดยผู้เข้ารับการอบรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขายหมวกกันกระแทกในราคาพิเศษแก่สมาชิก ให้ผู้ที่ถูกโทษปรับเมื่อทำผิดกฎจราจรเข้ารับการฝึกอบรม แทนการเสียเงินค่าปรับซึ่งทำให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางเป็นมิตรต่อจักรยาน
นอกจากนี้ยังมีแผนงานที่ช่วยผู้ใช้จักรยานเป็นยานพาหนะสัญจร ได้รับสิทธิบางอย่างโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น มีที่จอดจักรยานที่ปลอดภัยไม่เสียเงิน มีโปรแกรมเพื่อนร่วมปั่น ให้ล๊อคเกอร์สำหรับเก็บจักรยานหรือเสื้อผ้าแก่ผู้ใช้ฟรี ๆ ชมรมจักรยานของมหาวิทยาลัย มีนักศึกษาเข้าร่วมเป็นสมาชิกในชมรมจักรยานมากกว่า 7,000 คน ซึ่งสมาชิกทั้งหมดได้แสดงเจตจำนงที่จะใช้จักรยานในการสัญจรไปมา แทนการใช้รถยนต์เป็นหลัก ผลที่เกิดขึ้นพิสูจน์ ได้ว่าประสบความสำเร็จ เมื่อดูจากตัวเลขรถยนต์ที่มีคนขับคนเดียวจะมีจำนวนลดลงจาก 72 % ในปี 2002เป็น 48 % ในปี 2010 และจำนวนผู้ใช้จักรยานเพื่อการสัญจรของมหาวิทยาลัยเพิ่มเป็นจำนวน 21.7 %
The League of American Bicyclist พยายามกระตุ้นเมือง ชุมชน แหล่งธุรกิจ หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้เริ่มโปรแกรมจักรยานมากขึ้นทุกๆ ปี ซึ่งโปรแกรมสำหรับมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าหลายแห่งจะดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ก็ต้องเข้าไปชี้แนะวางแผนให้กว้างขวางและกระจายไปทั่วประเทศ เพื่อตัวชุมชน ผู้อาศัย หรือผู้มาเยือน ได้รับประโยชน์ทั่วหน้ากัน ยังมีมหาวิทยาลัยอีกสามแห่งใน California ที่ได้รับรางวัลพร้อมกันในปีนี้ในระดับ Gold คือ University of California at Davis, University of California at Santa Barbara และ California State Long Beach
bike in Stanford University
รัฐ California เป็นเขตที่มีสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการใช้จักรยาน ชุมชนหลายแห่งในรัฐ California ก็พัฒนาให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน Mega Cahill เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของ League of American Bicyclists ได้บอกไว้ รวมทั้งเสริมว่า มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้มีความพร้อมก่อนที่ League จะเริ่มโปรแกรมสำหรับมหาวิทยาลัย
ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นนอกแคลิฟอร์เนีย เช่น Colorado State University, Portland State University, University of Arizona, University of Oregon, University of Minnesota, Twin Cities, University of Washington และ University of Wisconsin at Madison ( ส่วนใหญ่อยู่ทางด้านตะวันตกของอเมริกา (หากใครสนใจวัฒนธรรมของประชากรแถบ north-west ให้หาอ่านจากนิตยสารสารคดี ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงรากของการเป็นนักอนุรักษ์ ของคนแถบนี้ - ผู้แปล) )
Scott ได้ให้คำแนะนำเบื้องต้นแก่มหาวิทยาลัยอื่น ที่ต้องการดำเนินนโยบายด้านความเป็นมิตรกับจักรยานโดยทาง league ร่วมออกแบบแนวทางกับมหาวิทยาลัย โดยต้องอาศัยความร่วมมือกับหลายหน่วยงานภายใน เพื่อวางแผนอย่างที่สแตนฟอร์ดจะต้องร่วมมือกัน ตั้งแต่หน่วยงานพลังงาน หน่วยวางแผนเพื่อความปลอดภัย หน่วยแผนที่และบันทึก รวมทั้งหน่วยงานป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุของโรงเรียนแพทย์ เพื่อให้ทุกฝ่ายดำเนินการไปในแนวทางเดียวกัน มีเป้าหมายร่วมกัน
การวัดเปรียบเทียบการดำเนินงาน หรือ Benchmarking กับแนวทางหลัก ที่เมืองที่ได้รับรางวัลดำเนินการ ถือเป็นแนวทางในการเริ่มต้นสำหรับเมืองเล็กๆ ในแต่ละท้องถิ่น ของประเทศต่างๆ ที่จะเลียนแบบแล้วไปออกแบบดำเนินการ โดยใช้ตัวชี้วัดที่มีมาวางเป็นเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้การพัฒนาทำได้ด้วยตัวเอง League of American Bicyclists ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดอันดับเมือง หรือ มหาวิทยาลัยต่างๆ ในอเมริกา โดยการตั้งเกณฑ์การให้คะแนนไว้ เมื่อสถานที่แห่งใดสามารถดำเนินการได้เข้าเกณฑ์ ก็จะได้รับการประกาศให้ได้รับรางวัล รางวัลที่ได้จะมีระดับของรางวัลตามคะแนนที่ได้รับ
นอกจากจะให้คะแนน เขาจะมีขั้นตอนวิธีในการทำงานที่กระตุ้น ส่งเสริม สนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้แต่ละสถานที่ดำเนินกิจกรรมไปให้ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ การประกาศคะแนนแบบนี้นอกจาก League แห่งนี้ นิตยสารบางฉบับ เช่น BICYCLING ก็ได้มีการประกาศ ส่งเสริมสนับสนุนด้วยเช่นกัน
ที่มา : ibikecafe.com

24 พ.ย. 2555

เรามาดูจักรยานสุดหรูจาก 10 แบรนด์อันโด่งดัง

|0 ความคิดเห็น

รวมรวมสิบจักรยานสุดหรูที่เหล่าดีไซเนอร์จากแบรนด์ชื่อดังร่วมกันสร้างสรรค์เพื่อให้เข้ากับกระแสของการรักษ์โลก

1.Urban Outfitters bikes
จักรยานสีสันสดใสจากแบรนด์ดังโดดเด่นที่โครงจักรยานที่มีสีสันสดใส สวยงาม


2.Missoni bikes
จักรยานลายสวยที่ใช้รูปแบบของลายซิกแซกหลายๆ สีมาทับซ้อนกัน


3.Kate Spade bike
อีกหนึ่งจักรยานจาก Kate Spadeที่ใช้โครงของจักรยานวินเทจมาสร้างสรรค์ และใช้สีพาสเทลกับส่วนต่างๆของจักยาน


4.Ralph Lauren bike
จักรยานสุดเท่สำหรับชายหนุ่มที่ Ralph Lauren เลือกสร้างสรรค์โดยมีความโดดเด่นที่แฮนด์จักรยานที่มีความคล้ายคลึงกับจักรยานในยุคเก่าและด้วยสีสันที่สวยงามคลาสสิค


5.Fendi bike
จักรยานสุดเท่จาก Fendi ที่แถมของแต่งมาให้เพียบ อย่างกระเป๋าใส่ของและตระกร้าที่มีลักษณะคล้ายหีบเก็บของ


6.Chanel bike
จักรยานสีดำสุดคลาสสิค สมกับที่ได้แบรนด์หรูอย่าง Chanel มาเป็นผู้ออกแบบให้




7.Gucci 8-8-2008 bike
แบรนด์หรูอย่าง Gucci ก็ลงมาร่วมวงออกแบบจักรยาน มีหรือที่จะเป็นจักยานธรรมดา จึงทำให้ได้จักรยานสีแดงสด ที่มาผสมกับโครงของจักยานที่มีสีแดงสวยงาม


8.Hermès bike
อีกหนึ่งแบรนด์หรูอย่าง Hermès ก็สร้างสรรค์จักรยานที่ทั้งหรูหราและคลาสสิค


9.Trussardi city bike
จักรยานสำหรับขี่ในเมืองที่ใช้โครงจักรยานแบบวินเทจ และเน้นประโยชน์ใช้สอยและใช้วัสดุที่แข็งแรง ทนทาน


10.Chrome Hearts x Cervelo bike
จักรยานที่เกิดจากการร่วมมือกันสร้างสรรค์ระหว่างแบรนด์ดังจากอเมริกาอย่าง Chrome Hearts และแบรนด์จักรยาน Cervelo bike จึงได้เป็นจักรยานมีมีรูปแบบของสรีทสไตล์ที่เต็มไปด้วยความหรูหราโดดเด่นที่ล้อหลังที่เป็นโลโก้ของแบรนด์ Chrome Hearts

SOURCE : AFP Relax News

บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง