สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวจักรยานทั้งหลาย วันนี้ผมมีแนวทางการฝึกซ้อมจักรยานผิด ๆ ซึ่งผมคิดว่ายังมีนักจักรยานทั้งมือใหม่และมือเก่าหลายท่าน อาจจะยังมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างในการฝึกซ้อม ซึ่งผมมีวิธีการซ้อมที่ผิด ๆ 10 วิธีมาให้เพื่อน ๆ ลองอ่านกันดูครับ และลองดูว่าที่เราซ้อมกันมานั้นเข้าข่ายใน 10 ข้อนี้หรือเปล่า...
1. ซ้อมมากเกินไป มีนักแข่งหลายคนที่จริงจังและมุ่งมันในการฦึกซ้อมเพื่อสู่หนทางเป็นแชมป์ให้กับตัวเอง เขาฝึกซ้อมอย่างหนักตั้งแต่เริ่มฤดูกาลแข่งขัน แต่พอถึงกลางฤดูเวลาที่เขาทำกลับแย่ลงทีละน้อย ๆ แล้วก็พลาดตำแหน่งตามที่ได้คาดหวังไว้
"สังสัยซ้อมน้อยไป" เขาคิดไปอย่างนั้น ก็เลยเพิ่มการฝึกซ้อมให้มากขึ้น ทั้งเพิ่มระยะทาง ปั่นขึ้นเขา ฯลฯ ผลที่ได้รับคือเวลาที่เขาเคยทำได้กลับแย่ลงไปกว่าเดิม เนินเขาที่เขาเคยปั่นขึ้นอย่า่งง่าย ๆ ก็กลับเป็นปัญหาสำหรับเขา เขาผิดหวังมาก เลยขายจักรยานทิ้งไปเลยหันไปคบหากิ๊กใหม่ ๆ แทนซะจะได้สะสมคอเลสเตอร์รอลได้ดียิ่งขึ้นไป 555 คิดผิดไปแล้วครับเพ่ ลองมาอ่านบทความนี้สักนิดหนึ่งก่อนที่คุณจะบอกลาจักรยานไปนะครับ
ความจริง จะบอกให้รู้ว่า ถ้าคุณโหมซ้อมมากเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็มีตำรามากมายหลายเล่มที่สอนเราว่าใ "ให้พักผ่อนให้พอ" ร่างกายของคนเราต้องการพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แล้วเวลาที่มันจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ คือ "เวลาที่เราพักผ่อนนั้นเอง" ดังนั้นเมื่อเราได้ทำการฦึกซ้อมมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เราก็ต้องหยุดพักบ้างโดยการพักผ่อน (นอนหลับ) และรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอบ้าง
การเป็นนักจักรยานมือใหม่ ๆ ส่วนมากแล้วจะขยันฝึกซ้อมเป็นพิเศษ จะด้วยเหตุประการใดก็ตาม เช่นกำลังเห่อกับเจ้าเสือคันใหม่ที่แสนโปรด หรือได้เพื่อนใหม่ ๆ ในวงการจักรยาน และอื่น ๆ ทำให้ขยัยและอยากขี่จักรยานมากเป็นพิเศษ จึงมักจะเป็นความผิดในข้อที่ 1 ครับ
2."ไม่เคยขาดซ้อม" นักแข่งหลาย ๆ คนจะใช้ตารางฝึกซ้อมซึ่งเหมาะสำหรับมืออาชีพที่แข่งอย่างเดียว แต่ชาวบ้านอย่างเรา ๆ จะหาเวลาฝึกได้ก็ช่วงเวลาที่ว่างจากการทำงานอาชีพแล้ว จึงจัดเวลาซ้อมจักรยานต่อจากการทำงานอย่างอื่นซึ่งไม่ดีเลย เพราะวิธีรวบการทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกันจะทำให้ร่างกายโทรมเร็วกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายไม่มีเวลาฟื้นตัว วิธีที่ถูกคือถ้ามีอะไรมาขัดจังหวะการซ้อมของคุณจงไปทำเรื่องนั้นให้เสร็จ แล้วถือว่าวันนั้นเป็นวันพักผ่อนพิเศษสำหรับคุณ แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยกลับเข้าตารางฝึกซ้อมใหม่ตามปกติ จำไว้ว่าการขาดซ้อมแค่เพียงวันเดียวไม่มีผลอะไรต่อร่างกายของคุณเลยถ้าคุณ ฟิตอยู่แล้ว หากคุณหยุดเฉย ๆ ถึง 2 สัปดาห์นั้นละครับที่จะทำให้ประสิทธิ์ภาพของกล้ามเนื้อคุณลดลงไป
3.ดูดอย่างเดียว จนเพื่อน ๆ ตั้งฉายาว่า "ไอ้ตัวดูด"
ในการออกปั่นกับเพื่อน ๆ ในแต่ละวันคุณไม่เคยขี่นำเพื่อน ๆ เลย คุณจะคอยตามหลังหรือคอยดูดเพื่อนตลอดเส้นทาง ถึงแม้เพื่อนจะขี่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ คุณก็ไม่เคยหลุดกลุ่ม จนบางครั้งคุณอาจจะเข้าใจผิดในตัวเองว่า "เราแกร่งแล้ว" แต่ความจริงคือ "ไม่" คุณยังแย่กว่าเพื่อนคุณที่เคยขี่นำหน้าด้วยความเร็วเพียง 25 กม./ชม.ด้วยซ้ำไป บ่อยครั้งเมื่อใกล้ถึงเส้นชัย หรือจุดสิ้นสุดการฝึกซ้อมประจำวันคุณจะเร่งความเร็วแซงเพื่อน ๆ ไปเข้าเส้นชัยก่อนก็นับว่าคุณยังไม่เกิดความสำเร็จในการฝึกซ้อมในครั้งนั้น ฉะนั้นการที่คุณขี่ตามเพื่อนโดยอาศัยแรงดูดจากเพื่อน ๆ นั้น นอกจากจะสร้างความเคยชินจนติดเป็นนิสัยแล้ว คุณก็ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ สถานการณ์ในสนามแข่งขันจริง ๆ คุณไม่สามารถจะใช้แรงดูดจากเพื่อนตลอดการแข่งขัน ฉะนั้นคุณต้องฝึกขี่นำหน้ากลุ่มบ้างในการฝึกซ้อมในแต่ละวัน ยิ่งคุณขยันขี่นำหน้าบ่อย ๆ มากเพียงใดก็จะเกิดผลดีกับคุณมากเท่านั้น จนเพื่อน ๆ จะตั้งฉายาใหม่ให้คุณว่า "หัวลากประจำทีม" ก็ได้
หรือคุณอาจจะเป็นผู้ที่ลงเขาได้อย่างบ้าบิ่นเกินใคร ๆ แต่ขาขึ้นคุณเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ต้องเข็น ฉะนั้นการที่เราจะเก่งอย่างใดอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ ลองทำในสิ่งที่คุณไม่ค่อยถนัดด้วย อย่างถ้าคุณปั่นขึ้นเขาไม่เก่งก็ต้องหัดปั่นขึ้นเขาบ่อย ๆ และสร้างความชำนาญให้ได้ในที่สุด ในช่วงแรก ๆ คุณอาจจะเบื่อหรือเกลียดกับการปั่นขึ้นเขาที่จะต้องใช้พละกำลังและระบบหายใจ มากเป็นพิเศษ แต่คุณจงฝืนฝึกฝนต่อไปเถอะครับ แล้วเมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้น จากนั้นนอกจากคุณจะเปลี่ยนเป็นนักปั่นที่ชอบพิชิตยอดเขาแล้ว คุณก็จะกลายเป็นนักปั่นคนใหม่ที่เก่งกว่าเดิม จนเพื่อน ๆ ในทีมอดที่จะยอมรับในความสามารถของคุณได้ และฮีโร่ของทีมก็อาจจะเป็นตัวคุณเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเป็นแน่แท้
4."ไม่ยอมขี่ร่วมกลุ่มกับคนอื่น"
มีนักจักรยานหลายคนที่ชอบขี่อย่างโดดเดี่ยวไม่ยอมมา ร่วมขี่กับกลุ่ม ผมเคยสอบถามหลาย ๆ คนที่ขี่จักรยานอยู่ตามลำพัง มักจะได้คำตอบว่า ผมชอบอิสระ เพราะการขี่คนเดียวไม่มีใครบังคับเราให้ขี่ไปทางใดทางหนึ่ง เราสามารถไปทุกแห่งตามที่เราต้องการ ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้องหากเรารักจะขี่เพื่อให้เวลาผ่านพ้นไปวัน ๆ เท่านั้น โดยไม่มีความมุ่งหวังว่าจะไปลงแข่งขันกับใคร แต่บางคนก็บอกว่า "ผมไม่กล้าเข้ากลุ่ม เพราะกลัวว่าจะตามเขาไม่ทัน" คำตอบข้อนี้น่าจะมาพิจารณาให้มากที่สุดครับ เพราะการขี่คนเดียวนั้นส่วนมากแล้วเราจะเข้าข้างตัวเองเสีัยมากกว่าที่จะ เป็นจริง เว้นแต่นักกีฬาระดับแนวหน้าแล้วที่เขาสามารถใช้เครื่องวัดอัตราการเต้นของ หัวใจมาเป็นตัวควบคุมในการฝึกซ้อมของเขา และเขามีระเบียบวินัยในการฝึกซ้อมอย่างแท้จริง
การขี่เป็นกลุ่มอาจจะไม่ได้ประโยชน์มากนักสำหรับนัก แข่งเสือหมอบ แต่ยังมีประโยชน์สำหรับนักจักรยานเสือภูเขาอย่างเรา ๆ มาก เพราะตลอดเวลาการขี่เป็นกลุ่มนั้น ความสามารถและความแข็งแกร่งของเพื่อน ๆ แต่ละคนมันจะต่างกันตามลำดับ ฉะนั้นเมื่อเพื่อนเราคนใดปั่นหนักขึ้น เราก็จำเป็นต้องปั่นหนักตามไปด้วยโดยเกาะกันเป็นกลุ่มภายใต้อุโมงลมที่ เพื่อน ๆ ช่วยบดบังไว้ก็พอที่จะลากสังขารไปกับเขาได้ ถึงแม้อาจจะทุลักทุเล หรือหอบแฮก ๆ ๆ บ้างในช่วงเข้ากลุ่มใหม่ ๆ ก็ตาม แต่สักวันหนึ่งคุณอาจจะเป็นผู้ที่ปั่นขึ้นไปลากเพื่อน ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หรือหากคุณยังถูกทอดทิ้งอยู่ท้าย ๆ เพื่อนอีก แสดงว่าคุณต้องไปปรับตัวในการฝึกซ้อมของคุณ ต้องย้อนกลับไปอ่านข้อที่ 1-4 ว่าคุณยังติดอยู่ข้อใดข้อหนึ่ง แล้วมาปรับปรุงการฝึกซ้อมต่อไป ไม่นานจนเกินไปคุณอาจจะขึ้นชื่อในกลุ่มเพื่อน ๆ ว่า"หัวลากนำเข้าคนใหม่"คือฉายาของคุณ
5.ปั่นอัดอย่างเดียว
จะมีนักจักรยานหลายคนที่มาขี่ร่วมกลุ่มกันแล้ว รับรองได้ว่าจะต้องมีพวกชอบอวดตัวเองอยู่เสมอ คนประเภทนี้จะชอบขี่นำกลุ่มหรือปั่นหนีกลุ่มตลอด หรือเรียกอีกภาษาว่า "พวกบ้าพลัง หรือพวกมีอัตตาสูง" ซึ่งถ้าเขาปั่นจี้อย่างนี้ทุกครั้งที่ขี่ ก็เท่ากับว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่ ไม่ต้องไปสนใจอะไรหรอกครับ เพราะร่างกายของคนเราต้องการสภาพการทำงานที่แตกต่างกันหลาย ๆ อย่าง ทั้งหนักทั้งเบา ทั้งโหมหนักและการพักผ่อน ทั้งนี้เพื่อจะให้ทุกระบบของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขี่เล่นกินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ บ้างปั่นแข่งขันกันบ้างจึงเป็นการช่วยให้ทุกระบบของร่างกายได้ทำงานร่วมกัน และยังสนุกกว่าการตั้งหน้าตั้งตาปั่นอย่างเดียว
ฉะนั้นการปั่นต้องมีการปั่นหนักและเบาสลับกันไป เป็นระยะ ๆ นอกจากจะไม่เป็นการทำร้ายร่างกายแล้วยังช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบต่าง ๆ ของหัวใจสลับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6.กินเมื่อหิวเท่านั้น
การรับประทานอาหารสำหรับมนุษย์เราทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักกีฬาจะต้องเน้นในหลักโภชนาการให้มากกว่าคนทั่ว ๆ ไป นอกจากต้องกินให้ครบทั้ง 5 หมู่แล้ว การกินอาหารต้องกินเป็นเวลา ไม่ใช่รอให้ท้องหิวซะก่อนแล้วค่อยหาอาหารเติมท้องทีหลัง จงกินอาหารก่อนที่คุณจะหิว แต่เชื่อเถอะครับขณะที่เรากำลังปั่นเพลิน ๆ อยู่นั้นไม่มีใครคิดถึงความหิวเลย แต่เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกหิวขึ้นมานั้นก็แสดงว่ามันสายไปเสียแล้วสำหรับ อาหารมื้อนี้ เพราะแปลว่าระดับน้ำตาลในเลือดของคุณต่ำเกินไป ร่างกายจึงรู้สึกว่าหิว และนั้นก็หมายความว่าพลังงานสำรองในร่างกายของคุณที่ได้สร้างสมมาได้ลดลงต่ำ กว่าระดับอันควรจะเป็นเสียแล้ว คราวนี้คุณจะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับคนอื่นได้ จนกว่าร่างกายของคุณจะได้สร้างสมพลังงานขึ้นมาใหม่ โดยต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน
กฎการกินของนักกีฬา โดยเฉพาะนักจักรยานคือเมื่อไรที่จะปั่นจักรยานกันนานเกิน 2 ชั่วโมง ก็จงกินทุก ๆ 45 นาทีหรือถ้าจะขี่กันนานเกินกว่า 4 ชั่วโมงก็ให้หยุดพักแล้วหาอะไรใส่ท้องทุก ๆ 2 ชั่วโมง ของที่จะกินก็ไม่ต้องมากนักหรอก เพียงแค่แซนวิชสักชุด กล้วยหอมสักลูกก็ใช้ได้แล้วครับ ยิ่งถ้าได้ประเภทกล้วยตากอบน้ำผึ้งที่เราเตรียมใส่กระเป๋าหลังก่อนออกเดิน ทางนั้นละครับสุดยอดของพลังงานที่เราจะได้รับ
สำหรับเวลาแข่งหรือช่วงเวลาที่รีบร้อนจริง ๆ ไม่มีเวลาจะแวะจอดกินอาหารแล้ว น้ำอัดลมซักกระป๋องหนึ่งจะให้พลังงานแก่คุณได้อีกครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อหมดพลังงานแล้วก็หมดเลยนะครับ คราวนี้ต้องหารถโบกกลับบ้านให้ได้ก็ละกัน
7.ไม่ค่อยดื่มน้ำ
น้ำเป็นสิ่งที่ร่างกายคนเราจะขาดไม่ได้ เพราะในร่างกายคนเรานั้นประมาณ 75 % ประกอบด้วยน้ำ ซึ่งเป็นสื่อกลางในการล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และในร่างกายของคนเรานั้นไม่เหมือนกับอูฐ หรือจะเรียกสั้่น ไ ว่า "คนนะไม่ใช่อูฐ" เพราะอะไรครับ เพราะว่าอูฐนั้นเป็นสัตว์ที่มีคุณสมบัติพิเศษกว่าสัตว์อื่น ๆ ในโลก เพราะอูฐมันจะมีกระเพาะไว้สำหรับเก็บน้ำไว้กินได้หลาย ๆ วัน โดยที่อูฐดื่มน้ำครั้งหนึ่ง เปรียบเหมือนรถยนต์ที่เติมน้ำมันเข้าไปในถังแล้วสามารถวิ่งไปได้เป็นร้อย ๆ กิโลโดยไม่ต้องเติมน้ำมันอีกจนกว่าน้ำมันจะหมดแล้วเติมเข้าไปใหม่ อูฐก็เช่นเดียวกับถังน้ำมันรถยนต์ แต่คนเราไม่สามารถทำเหมือนอูฐได้นะครับ
ดังนั้นจึงควรจิบน้ำหรือดื่มน้ำอยู่ตลอดทั้งวัน เพื่อให้ร่างกายชุ่มช่ำอยู่ตลอดเวลา แต่คนทั่วไปมักจะดื่มน้ำไม่ค่อยพอในแต่ละวันอยู่แล้ว และที่แย่ที่สุดคือการออกขี่จักรยานในขณะที่ร่างกายขาดน้ำ นักจักรยานที่ดื่มน้ำจนร่างกายชุ่มฉ่ำเป็นประจำอยู่แล้วจะสามารถปั่นได้แบบ สบาย ๆ ถึงสองชั่วโมงโดยการดื่มน้ำระหว่างทางอีก 2 กระติก ดังนั้นถ้าคิดจะขี่จักรยานนานกว่านั้นก็จงหาวิธีแบกน้ำไปให้มากกว่า 2 กระติกจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนะครับ
8.นอนไม่พอ
การพักผ่อนโดยการนอนหลับนั้นเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ฉะนั้นนักจักรยานอย่างเรา ๆ บางคนแล้วอาจจะไม่มีเวลานอนอย่างเพียงพอ อาจจะเป็นด้วยเหตุผลต่าง ๆ เกี่ยวกับประกอบอาชีพในหน้าที่การงานและอื่น ๆ และไม่มีวิธีใดเลยที่จะชดเชยการนอนไม่เพียงพอ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเราต้องนอนให้เพียงพอวันละ 7-9 ชั่วโมง หมายถึงต้องนอนให้หลับ ไม่ใช่นอนราบอย่างเดียวแต่ใจลอยไปคิดถึงกิ๊กคนแล้วคนเล่าจนสว่างคาตา นั้นหมายถึงท่านยังไม่ได้นอนนะครับ เพราะการนอนหลับสนิทนั้นตับกับไตจะได้ทำงานได้ดีที่สุด จำไว้เลยว่าถ้าคุณหลับไม่พอเมื่อไหร่ทั้งกล้ามเนื้อและจิตใจของคุณจะไม่ สามารถซ่อมแซมความสึกหรอจากกิจกรรมที่คุณทำในระหว่างวันได้เลย และที่สำคัญหากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ประสิทธิภาพในการมองเห็นของคุณจะด้อยกว่าปกติ และประสิทธิภาพในการตัดสินใจก็จะลดลงตามไปอีกด้วย อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างการขับขี่ได้ครับ
9.ไม่สบายแล้วยังซิ่ง
ความเจ็บป่วยนั้นไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นกับตนเองครอบครัวและ เพื่อนฝูง การมีสุขภาพที่่ดีนั้นย่อมเป็นลาภอันประเสริฐสุด คำนี้ก็ยังเป็นอัมตะตลอดไป และเป็นที่ปรารถณาของมนุษยโลกทุกคน แต่สิ่งเหล่านี้็ก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นได้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมเป็นสัจจะธรรมของทุกสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้ แต่เราก็สามารถป้องกันและบรรเทาสิ่งนั้นได้จากหนักให้เป็นเบา หรือยืดอายุไขออกไปได้ตามสมควร
สำหรับนักกีฬาอย่างเราแล้วก็ย่อมมีการเจ็บป่วยบ้างเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง หรือสาเหตุใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นหวัดน้ำมูกไหลธรรมดาก็ยังพอขี่จักรยานได้นะครับ แต่ก็ไม่ควรขี่ให้หนัก เพราะร่างกายเราต้องการพลังงานในการต่อสู้กับเชื้อโรค และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอย่างหนัก ไหนจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อสู้กับเชื่อโรคที่กำลังฟูมฟักตัวอยู่ในร่างกาย เรา แล้วไหนอีกจะต้องสร้างภูมิต้านทานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในระหว่างการฝึก ซ้อมอีก ฉะนั้นการออกกำลังกายเพียงเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท่านั้นเป็นดีที่สุด แต่หากคุณปั่นอัดเต็ม ๆ นั้นรับรองไม่ดีแน่ และคุณอาจจะต้องกลับมานอนเป็นไข้เข้าอู่ซ่อมระยะยาวเป็นแน่แท้ ดังนั้นคุณจะเหลือพลังงานไปทำอย่างอื่นได้ไม่มากนัก อดทนรอให้หายดีแล้วคุณค่อย ๆ ออกไปซ้อมกับเพื่อน ๆ แต่คุณจะต้องยอมรับตัวเองว่าวันแรกที่ออกไปปั่นขอเป็นเพียงตัวประกอบในทีมก็ เพียงพอ ขี่แบบสบาย ๆ ตามหลังเพื่อน ๆ ไปเพื่อเรียกกำลังและกล้ามเนื้อให้กลับสู่ภาวะปกติประมาณ 2-3 วัน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักเข้าไปตามกำลังที่เรามีอยู่
10.จมอยู่กับเรื่องไม่ดี
ทุก ๆ คนย่อมมีปัญหาในชีตทั้งนั้น โดยเฉพาะในสมัยที่โลกไร้พรมแดนนี้ยิ่งเพิ่มความวุ่นวายในชีวิตมากยิ่งขึ้น หลายเท่าตัว บางคนก็มีกิ๊กจนแทบต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เดือนละหลาย ๆ เบอร์เพื่อหลบการสะกดรอยของ มท.1 ยิ่งนักกีฬาอย่างเรา ๆ เรื่องแพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เอาแต่งตัวหล่อ ๆ เท่ ๆ ไว้ก่อนเพื่อเรียกแรงเชียร์จากสาว ๆ ผู้ชมรอบสนาม ซึ่งสร้างความสำเร็จสู่นักแข่งล่าเหยื่ออย่างเรามามากต่อมากแล้วนะครับ หรือปัญหาจากที่ทำงานอีกหลาย ๆ อย่างมีสะสมอยู่เรื่อย ๆ ฉะนั้นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนเรานั้นล้วนจะเป็นตัวนำมาซึ่งปัญหาทั้งสิ้น
เมื่อปัญหามาสุ่มอกเมื่อไหร่ก็ย่อมเกิดอารมณ์จะมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับปัญหานั้น ๆ และอารมณ์ของคนเรามีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา บางวันคุณอาจจะรู้สึกสบายใจปลอดโปร่งโล่งอก แต่บางวันคุณอาจจะรู้สึกตัวว่าไร้ค่าเสียเหลือเกิน ขอให้จงอย่าปล่อยตัวปล่อยอารมณ์ให้ติดอยู่กับเรื่องนั้น ๆ ตรงกันข้าม การที่คุณออกมาขี่จักรยานร่วมกับเพื่อน ๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายความเครียดได้ และจงคิดแต่สิ่งดี ๆ อย่าไปยึดติดกับอะไรมากนัก
สำหรับผู้ที่จริงจังกับการแข่งขัน แล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ก็ต้องยอมรับไว้ล่วงหน้าเลยว่า เวลาของคุณต้องแย่ลงแน่นอนและจงทำใจยอมรับกับสถาพที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งนึก แต่สิ่งที่ดี ๆ อย่าลืมว่าเรื่องไม่ดีทั้งหลายจะอยู่แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าเท่านั้น แล้วมันก็จะผ่านไปเอง ปรับจิตใจให้สบาย ๆ แล้วจงสนุกกับการขี่จักรยานเถอะครับ รับรองอายุยืยเป็นร้อยปีแน่ครั
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น