ss
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Life Style แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Life Style แสดงบทความทั้งหมด

13 ต.ค. 2554

The monkey lectric

|0 ความคิดเห็น

จากแสงช่วยป้องกันอันตราย ถูกปฎิวัติสู่ความสวยงามแบบท้องถนนในยามราตรี เดิมทีการขับขี่จักรยานในช่วงเวลาค่ำคืน เราจะว่ากันถึงเรื่องของไฟที่ใช้ป้องกันภัยหรือเป็นสัญญาณบอกผู้ร่วมทาง จากเดิมเราจะนิยมใช้แถบสะท้อนแสงช่วยในการป้องกันอันตรายไม่ให้รถเฉี่ยวชนเอา หรือจะเป็นไฟกระพริบติดท้ายรถที่มีลูกเล่นเพียง 3-4 แบบ จังหวะของไฟกระพริบ และการใช้ถ่านขนาด AA ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อหมดกำลังไฟ แต่ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เพียงแค่เป็นสัญญาณเตือนผู้ร่วมทางว่ามีจักรยานอยู่รวมบนท้องถนน

แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป Monkey Lectric ผู้นำทางโลกแสงสีบนจักรยานในยามมืดมิด ได้ปรับเปลี่ยนความล้าสมัยจองสัญญาณเตือนแบบเก่า แต่กลับเป็นสัญญาณเตือนที่มีความโดเด่นบนจักรยานทุกท่าน สร้างสไตล์ให้กับผู้ขับขี่กับผู้พบเห็นได้อย่างสวยงาม บริษัท Monkey Lectric ก่อตั้งขึ้นโดย Dan Goldmater ในปี 2007 สร้างยุคแห่งการใช้ไฟติดจักรยานในรูปแบบดิจิตอล บวกกับสร้างสไตล์กิ๊บเก๋ในแนวสร้างสรรค์และปลอดภัย Urban street bike art จึงถือกำเนิดขึ้น

Dan Golmater ได้เข้าไปล้วงลับเจาะลึกเกี่ยวกับหลอดไฟทุกชนิดที่มีบนโลก ที่สามารถมาพัฒนางานดีไซน์ให้ได้ถึง effect ที่เกิดจากหลอดไฟขนาดเล็ก ๆ ต่อมาก็มีฝาผิด จุ๊กลมที่เป็นหัวไฟ หลัการทำงานในขณะที่ล้อหมุนด้วยความเร็วระบบจุ๊กไฟก็จะรับถึงแรงสั่นสะเทือนและแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นของการหมุนของล้อ ไฟก็จะติดและจะดับเองโดยอัตโนมัติเมื่อหมดแรงเหวี่ยงจากล้อแต่ต้องใช้ถ่ายจิ๋วขนาดเล็กถึงสามก้อน

ต่อมาได้ Dan Golmater แลเห็นสิ่งสำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์นี้ออกมาคือการนำกลับมาใช้ใหม่ของแบตเตอรี่ การรีชาร์ตไฟ เพื่อลดสภาวะโลกร้อนเพราะชาวจักรยานเราเองส่วนใหญ่ก็ต้องการช่วยลดสภาวะโลกร้อนกันใช่ไหมล่ะจากจุ๊กลมไฟสู่การดีไซน์กราฟิคบนล้อในยามมีการเคลื่อนไหว กราฟิคที่ได้จากการหมุนของล้อมีมากมายหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นรูปทรงเรขาคณิตธรรมดาจนถึงโลโก้ สัญลักษณ์ต่าง ๆ รูปหน้าคนสำคัญยังทำได้เลย โดยการเขียนโปรแกรมลงในแผงวงจรไฟฟ้าสร้างช่วงจังหวะเวลาการเคลื่อนไหว ของหลอดไฟ ให้เกิดมิติภาพที่ซ้อนกันของแสงที่ได้จากหลอดไฟสีต่าง ๆ

และหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผลิตภัณฑ์ต้องเป็น packing เพราะมีขนาดแผงวงจรไฟสร้างกราฟิค เพื่อง่ายต่อการติดตั้งและติดแน่นกับรถจักรยานของคุณ ระบบกันของเหลวเข้าสู่แผงวงจรไฟฟ้าส่วนประกอบหลัก ๆ มีสายหนังที่รัดแผงเซลแบตเตอรี่ไว้อย่างหนาแน่น มั่นใจไร้กังวลว่าจะสูญหาย ไม่ต้องใช้ถ่าน AA แต่เป็นแผงเซลแบตเตอรี่ที่ถูกเคลือบด้วยสารกันของเหลว และสิ่งแปลกปลอม หลอดไฟ LED Ultra Bright 32 หลอด สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 1,000 กว่ารูปแบบของรูปแบบสี มีการดาวโหลดข้อมูล รูปแบบการวิ่งของไฟในเว็บไซต์ การยึดติดกับขอบล้อของจักรยานอย่างหนาแน่นมี Mounting System ที่มาถึง 8 อัน หมดปัญหากับการที่มันจะถูกสลัดออกจากจักรยาน

แต่ยังไม่มีการจัดจำหน่ายในไทย ถ้าถูกใจโดนใจท่านผู้อ่านที่คิดว่าอยากสร้างสรรค์อะไรลงบนจักรยานนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำหรับผู้ขับขี่จักรยานในยามค่ำคืนไม่ต้องกลัวอันตรายจากคนที่ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน หรือาชญากรต่าง ๆ เพราะเราย้ายไฟมาเคลื่อนที่ร่วมทางไปกับเรา

11 ต.ค. 2554

จักรยาน Retro bike

|0 ความคิดเห็น
เรื่องราวของสองล้อบนโลกปัจจุบันที่มันไม่ใช่แค่เพียงการปั่นเพื่อออกกำลังกาย แต่เป็นออพชั่นในการโชว์ความเป็นตัวของตัวเอง ในบรรดาวัยรุ่นชายหญิง ปัจจุบันเทรนด์ของแฟชั่นโลกมันเริ่มมีบทบาทต่อชาวสองล้อมากขึ้น จากการแต่งตัวที่ย้อนสู่ยุค 80 รองเท้าผ้าใบหัวแหลมสีสวย ๆ แนว ๆ เสื้อลายสก๊อต กางเกงขาสั้น จากกระแสของชาว Fixed ที่ฮ๊อตฮิตติดชาร์ตไปหนึ่งรายในวงการวัยรุ่นไทย ตอนนี้ก็มีอีกหนึ่งกระแสที่กำลังเริ่มจุดประกายไฟและจะนิยมในอีกไม่ช้า Retro Bike การกลับมาของรถรุ่นเก๋า เก่า แต่เจ๋ง พร้อมกับวัสดุที่ทันสมัย สีสันกวน ๆ แบบชาวฮิปฮิป แต่รูปลักเจ้าคุณปู่ จากแบรนด์ดังมากมาย เพื่อเอาใจผู้หลงใหลความเป็น Old School ในยามวัยเด็ก

ก่อนอื่นต้องเล่าถึงความเป็นมาของรถจักรยาน Old School กันก่อน ความเท่บนสองล้อในสมัยแรกรุ่น ก็คนไม่พ้นชาว BMX ที่ถือว่ากำเนิดมาจากฝั่งประเทศตะวันตกในมลรัฐแคริฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จากกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อยากจะขี่จักรยานได้ เหมือนกับจักรยานยนต์วิบาก โดยได้มีการนำจักรยานประเภท Stingray มาขี่ในสนามทำขึ้นเหมือนกับสภาพสนามการแข่งขันจักรยานยนต์วิบาก โดยในยุคเริ่มต้นของจักรยาน BMX นั้นมีการปรับปรุงสมรรถนะของจักรยานโดยมีการนำระบบกันสะเทือน มาใช้กับตัวโครงรถ และตะเกียบด้านหน้า แต่เนื่องจากน้ำหนักที่มากบวกกับราคาที่ค่อนข้างสูงแลเพื่อให้ได้มีการใช้งานอย่างคล่องตัว และเด็ก ๆ สามารถจะเป็นเจ้าของรถอย่างไม่ยากเย็น ผู้ผลิตจักรยานในยุคนั้นจึงได้มีการปรุง และลดชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป รูปแบบของจักรยาน BMX ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจึงได้กำเนิด ณ จุดนี้เองจักรยาน BMX เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจักรยานเสือภูเขามากขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน รถเสือภูเขาเข้ามามีบทบาทแล้วจักรยานก็เริ่มถูกแบ่งออกเป็นหลายแขนงยิบย่อยออกไป

แนวคิดของการเริ่มย้อนยุคสู่วัยเก๋า ก็มาจากเจ้าพ่อแห่งวงการจักรยานสุดโจ๋ กับมาดที่กวน ๆ ภายใต้สังกัดทีม SE Factory Team ในอดีต สู่ผู้ออกแบบรถของบริษัท SE ในปัจจุบัน คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Todd lyons toll lyons Todd Lyons เขาได้เริ่มนำรถ Old School มาขี่กับรถสมัยใหม่ ในงานแข่งปัจจุบัน มีการพัฒนาวัสดุแต่คงความเป็นรูปทรงของ รถ SE ไว้ เปลี่ยนสีสันที่ดูแปลกตาและกำลังเริ่มนำสู่ท้องตลาดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

หลังจากนั้นอีกไม่นานแบรนด์ต่าง ๆ ก็อดตามกระแสไม่อยู่ ได้เริ่มออกแบบรถย้อนยุคมาอวดโฉมกันมากมายในท้องตลาด อาทิเช่น KUWAHARA ความแตกต่างระหว่าง Old School สายพันธุ์แท้กับรถ Retro Bike ต้องสังเกตกันดีดีถ้ามองกันผิวเผินแทบไม่มีอะไรแตกต่าง อย่างแรกที่มองเห็นชัดคือรูปทรง แฮนด์บาร์ที่เป็นสมัยปัจจุบัน ขนาดของคอที่กว้างขึ้นจากเดิม ถึง 1/8 นิ้ว เพื่อรองรับถ้วยคอในปัจจุบันและ Stem สมัยใหม่ ขาจานจากจานร้อยเป็นแบบใช้กะโหลก หลักอานแบบเดิมที่เยื้องมาด้านหลังถูกเปลี่ยนให้ใช้ของ Mountain Bike โดยเป็นแกนตรง เบรคก็ถูกเปลี่ยน สุดท้ายคือวัสดุใหม่ สีใหม่ จากการสกรีนลายเท่ๆ  เช่น แบงค์ดอลล่าร์สหรัฐ ด้วยเทคนิคและเครื่องมือเคลือบฟิล์มบนตัวถังอย่างน่าอัศจรรย์

Todd Lyons ก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่ล้อ 24 นิ้วเท่านั้น เขาได้ออกแบบล้อ 26 ตามมาอีก เป็นรุ่น      The Hundreds หรือจะเป็น Crook and Castle แม้กระทั่งการร่วมมือกับค่ายรองเท้ายักษ์ใหญ่สุดฮิปอย่าง DC ออกมาเอาใจชาว Retro ทั้งรองเท้าและจักรยาน ส่วนแฟนพันธุ์แท้แว่นดังจากค่าย Oakley ก็ร่วมมือและจะออกสู่สายตาในไม่ช้านี้ อดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว ส่วนทาง KUWAHARA ก็ไม่น้อยหน้าร่วมกับ Nike ออกรองเท้ารุ่น ET มายั่วน้ำลายกันอีกถ้วนหน้า เอาเป็นว่าใครรักใคร ใครรักค่ายไหนเลือกกันตามสบายเลย
            

Parlee Cycles และ Edge Composite

|0 ความคิดเห็น
หลายท่านอาจเคยได้ยินหรือรู้จักกับทั้งสองแบรนด์นี้กันมาบ้างแล้ว แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักและรับรู้ประวัติความเป็นมากับ Parlee Cycles และ Edge Composite ให้มากยิ่งขึ้นกัน เอาเป็นว่าเราเริ่มที่ Parlee Cycles กันก่อนเลยดีกว่า จุดเริ่มต้นของคำว่า Parlee Cycles เป็นสุดยอดของจักรยาน Carbon Road Bike ที่ดีที่สุดในขณะนี้ เริ่มมาจาก Mr. Bob Parlee ผู้เป็นเจ้าของและเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท Parlee Cycles ก่อนหน้าที่ Mr.Bob Parlee จะมาเป็นผู้ออกแบบผลิตจักรยานเสือหมอบ Parlee Cycles นั้น เขาเคยเป็นผู้ออกแบบรถแข่ง และเรือแข่ง ชั้นแถวหน้าของอเมริกา และยังเป็นผู้ที่หลงใหลจักรยานและกีฬาจักรยานมาทั้งชีวิตอีกเช่นกัน Mr.Bob Parlee เป็นอีกคนที่มีความรู้เรื่อง Carbon Fiber มากที่สุดของอเมริกา แม้กระทั่งองค์การ นาซ่า ยังต้องมาขอคำปรึกษาเรื่องการใช้วัสดุ Carbon Fiber กับเขาเลย

10 ปีที่แล้ว Mr.Bob Parlee ได้ละทิ้งทุกอย่างของเขาเพื่อที่จะสานความฝันอันสูงสุดของเขาให้เกิดเป็นเรื่องจริงให้ได้นั่นก็คือ การฝันว่าอยากสร้างจักรยานเสือหมอบที่เป็นสุดยอดที่สุดในโลกและวันนี้เขาได้ทำความฝันของเขาได้สำเร็จแล้ว และนักวิจารณ์จักรยานทั่วโลกได้ลงความเห็นว่า จักรยานของ Parlee Cycles ไม่มีจักรยานเสือหมอบแบรนด์อื่นเทียบเท่าได้เลย

Mr.Bob Parlee ได้กล่าวว่า “เมื่อ 10 ปีที่แล้วหลายคนมองข้ามและไม่มีความรู้อย่างแท้จริงในการนำ Carbon Fiber มาเป็นวัสดุในการผลิตจักรยาน ปัจจุบันแทบทุกแบรนด์เลยก็ว่าได้ที่ผลิตจักรยานด้วยวัสดุ Carbon Fiber และมีการโฆษณาว่าจักรยานของตนเองนั้นมีคุณสมบัติที่มีน้ำหนักเบา มีความแข็งแรงทนทานที่ดีเยี่ยม หรือมีดีไซน์ที่ล้ำยุคล้ำสมัย แต่ในทากลับกันแล้วบริษัทเหล่านั้นได้ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงในการนำ Carbon Fiber มาเป็นวัสดุในการผลิตจักรยานหรือไม่ หรือแค่เพียงว่าคนอื่นเขาทำเราก็ต้องทำตามกระแสไปด้วย ในความเป็นจริงแล้วการที่เราจะนำ Carbon Fiber มาเป็นวัสดุในการเผลิตจักรยานนั้นเราต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในการเลือก Carbon Fiber แต่ละชนิดให้เหมาะกับการใช้งานและจุดประสงค์ในการผลิตด้วยครับ”

และ Mr.Bob Parlee ได้กล่าวเสมอว่าเขาไม่ใช่ Stylist แต่เขาคือนักออกแบบและเป็นผู้สร้างจักรยานเสือหมอบที่เร็วที่สุด เบาที่สุด ทนทานที่สุด และสบายที่สุดในโลก คุณภาพเป็นสิ่งเดียวที่ Mr.Bob Parlee คำนึงถึงไม่ใช่จำนวนและความเร็วในการผลิต เพราะเหตุผลนี้คุณจะไม่มีสิทธิ์เห็นรูปร่างที่ไม่จำเป็นในการใช้งานในดีไซน์ของ Parlee Cycles กฎง่าย ๆ ของการออกแบบของ Bob Parlee นั่นทุกอย่างต้องมีความสมเหตุสมผลในตัวของมัน อธิบายกันง่าย ๆ เลยก็ได้ว่าการที่จะสร้างจักรยาน Carbon Fiber ที่ดีได้นั้นต้องเน้นการเลือกชนิด Carbon Fiber ใช้ให้ตรงจุดประสงค์การใช้งานเฉพาะจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพเต็มร้อยในการใช้งาน เหตุผลนี้เลยทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มบางส่วนที่ไม่จำเป็นของจักรยานขึ้นมาเลย ก็เหมือนกับการติดปีกให้กับรถยนต์ทำให้รถดูเท่มาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รถวิ่งเร็วขึ้นยังจะทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก

อย่างที่แจ้งไปข้างต้นว่าการที่เราเลือกวัสดุการใช้งานที่เหมาะสมมาใช้งานนั้นย่อมทำให้มีประสิทธิภาพการใช้ที่ดียิ่งขึ้น การออกแบบที่ตั้งใจทำให้จักรยานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดนั้น ทำให้รถจักรยานเพิ่มความเร็ว การทรงตัวที่ดีสำหรับการโค้งและลงเขา เลยทำให้จักรยานที่น้ำหนักสุดเบาแฝงความทนทานที่เทียบไม่ได้ และความนุ่นนวลเกินความคาดหมาย นี่เป็นสิ่งที่ Parlee Cycles แตกต่างจากคนอื่น ๆ มีคำกล่าวของผู้ใช้ Parlee Cycles ท่านหนึ่งซึ่งเป็นหมอศัลยกรรมที่อเมริกาว่า “จักรยาน Parlee เมื่อเทียบกับรถ Porshce ของเขาแล้ว Porsche ราคายังจะตกมากกว่าจักรยาน Parlee ของเขาซะอีก”
  
เอาละครับมาถึงเรื่องราวของ Edge Composite กันบ้าง บริษัท Edge Composite ตั้งอยู่ที่รัฐ Uath สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่แรกเริ่มบริษัทเป็นผู้ผลิต Carbon Fiber มาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดของ บริษัท Edge Composite นั้น คือการผลิตสินค้าทุกชิ้นที่เมือง Ogden ของรัฐ Utah ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของบริษัท ดังนั้นทางบริษัทจึงได้ทำการวิจัยออกแบบและผลิตในประเทศอเมริกาเลย จะเห็นได้ว่าพนักงานทุกคนของบริษัท จะนั่งในเต้นเพื่อที่ทดสอบสินค้ามากกว่าจะนั่งพิมพ์ Black Berry ในออฟฟิศ เลยทำให้สินค้าทุกชิ้นของบริษัท Edge Composite มีความใส่ใจและความพิถีพิถันในการผลิตเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้าที่ Edge Composite จะผลิตสินค้าเป็นของตัวเองนั้น เคยเป็นผู้ผลิตวัสดุ Carbon Fiber และ  Mold ให้กับบริษัทที่ผลิตเฟรมจักรยานชั้นนำของโลก บริษัทที่เรียกตัวเองว่า Custom Builder ทั้งหลาย เช่น Parlee Cycles , Seven Cycles , Independent Fabrications , Calfee , Vanilla , Crumpton and Rugamer บริษัทพวกนี้มีความต้องการท่อที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดจึงเลือกใช้วัสดุ Carbom Fiber จาก Edge Composite สิ่งหนึ่งที่คุณจะไม่เจอสำหรับ Edge Composite คือ การโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริง อันที่จริงแล้วเราก็มีทีม PR ที่ดี แต่ทางบริษัทมุ่งเน้นจุดขายเรื่องคุณภาพของสินค้าให้เป็นที่ยอมรับมากกว่า Edge Composite จะเปิดตัวสินค้าและวางขายแต่ละชิ้นนั้นสินค้าต้องมีความพร้อม และสมบูรณ์แบบที่สุด สินค้าในบริษัท Edge Composite ไม่มีคำว่าตกรุ่นเพราะ edge Composite ไม่มีการดันสินค้าออกขายเพื่อให้มีสินค้าใหม่ในแต่ละปีแน่นอน มีคำคำเดียวสำหรับ Edge Composite ที่ยึดมั่นก็คือ คุณภาพที่ไม่มีคำว่ามาเป็นที่ 2

และเหตุผลนี้นักแข่งจักรยานชั้นนำของโลกจึงเลือกใช้ Edge Composite และเชื่อว่า Edge Composite จะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังและเสียโอกาสในการแข่งขัน ถ้าจะให้เอ่ยชื่อนักแข่งที่ใช้ Edge Composite แล้วละก็คงไม่น่าสนุกเท่ากับการที่คุณค้นหาเอง และคุณจะเห็นได้ว่ามีแทบจะทุกที่ที่นักแข่งใช้ Edge Composite



15 ก.ย. 2554

การขี่จักรยานแบบ EPIC ตอนที่ 2

|0 ความคิดเห็น

รายการอุปกรณ์สำหรับการขี่ทางไกลเอพิค

1.  เสื้อแจ็คเก็ต : จะช่วยให้ไม่เป็นหวัดได้เมื่อเกิดฝนตกขึ้นระหว่างทาง หรือเพื่อป้องกันความหนาวเย็นหากคิดจะไปปั่นเอพิคกันทางภาคเหนือช่วงฤดูหนาว
2.  ถุงขาหรือถุงแขน: ในแถบยุโรปและอเมริกาเรียกถุงพวกนี้ว่า leg warmer, arm warmer หมายถึงถุงสวมขาและแขนเพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็น แต่ในบ้านเรามันกลับถูกใช้ไปอีกทางหนึ่งซึ่งไม่แปลก เพราะเจ้าถุงสองอย่างนี้มันช่วยไม่ให้แขนและขาถูกแสงแดดแผดเผาได้เหมือนกัน
3.  ยางในอะไหล่สองเส้นพร้อมชุดปะ: ถ้าเกิดยางแตกขึ้นในป่าล่ะจะทำอย่างไร ยางอะไหล่พร้อมชุดเครื่องมือปะยางนี่แหละที่จะช่วยคุณได้
4.  อุปกรณ์ปฐมพยาบาล: คือสิ่งที่จำเป็นเมื่อคิดจะขี่จักรยานเข้าไปในถิ่นที่ไม่คุ้นเคย มันช่วยคุณได้เมื่อจักรยานล้มเนื้อตัวถลอกปอกเปิก หรือแม้แต่แข้งขาหัก
5.  มีกองทัพสวิสส์: มีดพับ Swiss Army Knife คือเครื่องมือเอนกประสงค์ที่ควรมีไว้ติดตัวเมื่อขี่เอพิค หรือหากไม่ได้ขี่แบบนี้มีมันไว้ติดบ้านก็ดีเหมือนกัน เพราะในหนึ่งเล่มของมีดพับนั้นมีของที่ทรงคุณประโยชน์ให้เลือกใช้ได้มากมายตามแต่จะเลือก ทั้งมีดใบยาวใบสั้น ไขควง กรรไกร หรือบางรุ่นยังมีแม้แต่ธัมป์ไดรฟ์ให้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์
6.  เงิน: มีเงินติดตัวไปด้วยระหว่างขี่เอพิคไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร คุณอาจจะมีโอกาสได้ใช้มันบ้างหากไปเจอร้านค้าระหว่างเส้นทาง หรือเมื่อมีเหตุให้ไม่สามารถปั่นต่อไปได้ จะได้เข็นจักรยานออกมาโบกแท็กซี่บนถนนปกติ
7.  โทรศัพท์เคลื่อนที่ : เพื่อใช้โทร.เรียกคนช่วยเหลือได้ตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ญาติพี่น้องหากเกิดเหตุร้ายขึ้น
8.  เครื่องมือตัดต่อโซ่: เผื่อโซ่ขาดกลางทาง หรือถ้าเป็นคนที่ปั่นแรงจนโซ่ขาดบ่อย ๆ จะพกโซ่สำรองแบบต่อได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือติดตัวไปด้วยก็ได้
9.  จ้างไกด์นำทาง: ถ้าตรงนั้นเป็นบริเวณไม่คุ้นเคยแล้วกลัวว่าจะหลง หนทางที่ดีและง่ายที่สุดคือจ้างคนท้องถิ่นให้นำทางเสียเลย

"นอกจากเช็คลิสต์หรือรายการอุปกรณ์ติดตัวข้างต้นนี้ ยังมีปัจจัยอื่นให้ต้องคำนึงด้วยซึ่งเกี่ยวกับ
ผู้ร่วมเดินทางกับคุณทั้งสิ้น"

จำกัดจำนวนผู้ร่วมเดินทางให้มีได้ไม่เกิน 4 คน 

นักจักรยานเพียง 4 หรือน้อยกว่านั้น จะสามารถช่วยเหลือกันและกันได้ในขณะที่นักจักรยานมากกว่า 4 คนอาจจะทำให้การขี่เอพิคล่าช้า นักจักรยานสามคนคือจำนวนน้อยที่สุด ด้วยเหตุผลว่าถ้ามีใครบาดเจ็บแล้วจะมีคนอยู่เป็นเพื่อนคนหนึ่งและอีกคนหนึ่งออกไปขอความช่วยเหลือ

ความสามารถเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกัน

นักจักรยานที่ฟิตเท่า ๆ กันและปั่นได้ด้วยความเร็วเท่ากัน จะช่วยกันลากเพื่อน ๆ ในกลุ่มให้เคลื่อนขบวนไปได้โดยไม่เว้นช่องห่างเกาะกลุ่มไปด้วยกันได้สบาย ๆ โดยไม่มีใครมาถ่วงขบวน

สภาพอารมณ์คงเส้นคงวา

ต้องชี้แจงกันให้ละเอียดเสียก่อนว่าจะเดินทางจากไหนถึงไหน การได้รู้เส้นทางและระยะเวลาจะช่วยให้กันคนขี้บ่นออกไปได้แล้วส่วนหนึ่ง ถ้าคิดจะขี่ทางไกลแบบเอพิคก็ต้องทำใจว่ามันต้องนานและลำบาก ถ้าไม่อยากลำบากก็ไม่ต้องมาด้วย การมาร่วมขบวนแล้วบ่นจะทำให้เพื่อน ๆ เซ็งไปตามกัน การขี่จักรยานจะหมดสนุกไปโดยปริยาย

การเลือกเส้นทาง

นอกจากระยะทางแล้วสภาพเส้นทางก็ต้องเคลียร์กันก่อนการวางเส้นทางอย่างชาญฉลาดจะทำให้การขี่แบบเอพิคครั้งนี้เป็นที่จดจำ

·    ให้ไต่ก่อนในช่วงต้น ๆ : เพราะช่วงต้นเส้นทางนี้ทุกคนยังสดชื่นและพร้อมลุย การขึ้นเนินช่วงนี้จึงไม่ทำให้เหนื่อยล้ามากประกอบกับช่วงลงที่ตามมาจะทำให้ได้ผ่อนคลานไปด้วยจาการไถลลงมาอย่างเดียว
·    ถามเส้นทางจากคนที่เคยไปขี่มาแล้ว: ข้อมูลจากคนพวกนี้จะมีประโยชน์มาก ทั้งในการเลือกเส้นทางและสิ่งที่ต้องเผชิญระหว่างทาง
·    ใช้แผนที่: การอ่านแผนที่ได้และใช้มันเป็นจะทำให้ไม่หลงทาง รู้ว่าอีกแค่ไหนจึงจะจบ ทำให้ประมาณเวลาขี่และเวลาพักผ่อนได้
·    ใช้กูเกิล เอิร์ธให้เป็นประโยชน์ : กูเกิล เอิร์ธคือเครื่องมือวางเส้นทางขี่เอพิคที่ดีและมีประโยชน์สูง คุณจะทราบได้ทั้งสภาพภูมิประเทศและระยะทางโดยประมาณจากกูเกิล เอิร์ธนี้ก่อนจะลงไปสำรวจเส้นทางด้วยการขี่จริง


บทความที่เกี่ยวข้อง:

>> การขี่จักรยานแบบ EPIC ตอนที่ 1



การขี่จักรยานแบบ EPIC ตอนที่ 1

|0 ความคิดเห็น
นักจักรยานวิบากหรือเมาเท่นไบค์ที่ขี่มันมานานพอ น่าจะเคยได้ยินคำในภาษาอังกฤษว่า เอพิค (Epic) มาบ้างซึ่งหมายความว่าเป็นการปั่นทางไกล มีที่มาจากคำเดียวกันที่แปลว่า มหากาพย์ อันหมายถึงบทกวีเพื่อเชิดชูวีรบุรุษยุคโบราณผู้ออกเดินทางไกลจากบ้านเกิดไปเพื่อต่อสู้เพื่ออะไรสักอย่าง จะว่าต่อสู้เพื่อถิ่นเกิดของตัวเอง หรือเพื่อโลกก็แล้วแต่จะว่า เพราะเหตุนี้หากจะบอกว่าเอพิคคือการขี่เมาเท่นไบค์ทางไกลที่แสดงความกล้าหาญของคนขี่ก็คงไม่ผิดนัก

แต่หากจะถือว่าการได้ปั่นเมาเท่นไบค์พอให้ได้ระยะ 30-50 กม. นั้นเป็นเอพิค ก็คงไม่ได้อีก เพราะเอพิคไม่ได้วัดกันแค่ระยะทาง มันคือการขี่เมาเท่นไบค์ที่ลึกเข้าไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน การได้ปั่นด้วยเวลาเพียงครึ่งเดียวในเส้นทางเดียวกับนักเดินป่าใช้เวลามากกว่าถึงสองเท่านั้นถือว่าเป็นความสำเร็จอันน่าภูมิใจของเอพิค และการจะปั่นได้เช่นนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อม คนจะขี่จักรยานเอพิคให้สนุกต้องแข็งแรงเพราะคุณต้องขี่มันทั้งวันในเส้นทางอันสุดวิบาก รวมถึงต้องมีเพื่อนคู่หูไปปั่นด้วยกันถึงจะมั่นใจได้ว่าหากเป็นอะไรหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะได้มีความช่วยเหลือ สรุปได้ 4 ประการดังนี้คือ 1. ต้องแข็งแรง 2. ต้องมีอุปกรณ์ครบถ้วนวางใจได้ 3. ต้องมีเพื่อคู่หูที่ไว้ใจได้ 4. ต้องมุ่งมั่นว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคให้สำเร็จ

1.  ต้องมีสุขภาพแข็งแรง  ถ้าคุณปั่นหนักมาได้อาทิตย์ละสามวันและปั่นช่วงหยุดสุดสัปดาห์มากกว่าสองชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นผู้มีสุขภาพพื้นฐานสมบูรณ์พอให้ปั่นทางไกลแบบเอพิคได้แล้ว และหากจะขยับขึ้นไปประลองความสามารถของตัวเองกันเส้นทางในระดับเอพิคคุณต้องเพิ่มเวลาเป็น 4 ชั่วโมง การเพิ่มฝึกปั่นขึ้นที่สูงด้วยระหว่างฝึกขี่เอพิคก็ถือว่าดี คุณจะได้พร้อมทั้งทางเรียบและทางเนิน และจะดีมากถ้าคุณฝึกปั่นขึ้นเนินได้เป็นชั่วโมง ๆ

2.  ใจต้องเต็มร้อย  นอกจากร่างกายแล้วคุณยังต้องผลักดันจิตใจให้กล้าแกร่ง การขี่เอพิคให้ครบต้องเป็นนักสู้และวิธีที่จะปลุกใจให้ รุกรบ ได้ก็ต้องฝึกให้ดี ผลักดันร่างกายถึงขีดสุดเมื่อซ้อมดีแล้วความมั่นใจจะตามมาเอง จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีแต่ใจแต่กายไม่ยอมไปด้วย ใจคุณต้องมาก่อน ต้องเป็นคนกัดไม่ปล่อยทั้งเวลาซ้อมและตอนขี่จริง ตั้งใจว่าจะขี่ให้ได้ระยะทางแค่ไหนแล้วต้องไปให้ครบตามระยะทางนั้น ๆ

3.  อุปกรณ์ต้องพร้อม   การจะขี่ทางไกลแบบเอพิคให้รอดนั้นไม่ใช่ไม่ต้องเตรียมตัวแล้วออกไปปั่นเลย นักจัรยานต้องมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ติดตัวไปด้วยรวมทั้งยา เสื้อผ้า อาหาร และน้ำ เพื่อจะได้ดำรงตนอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าเอพิคคือการขี่จักรยานลึกเข้าไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน อย่าได้หวังว่าจะเจอร้านจักรยานเพื่อแวะเข้าไปปะยางหรืออย่าคิดว่าจะปั่นร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จะขี่ให้สนุกและครบระยะทางก็ต้องพร้อม หากเกิดปัญหาจะแก้ได้อย่างรวดเร็วและทันถึงที่หมายได้ก่อนค่ำ เรื่องเป้ใส่ของที่ใช้ขี่ระยะสั้น ๆ นั่นลืมไปได้เลยเพราะคุณต้องพกติดตัวไปทั้งน้ำและอุปกรณ์อื่น ๆ รวมทั้งเสื้อผ้าด้วย เมื่อสุขภาพพร้อม ใจพร้อมแล้วต่อไปนี้คือรายการอุปกรณ์ที่ต้องตรวจสอบก่อนจะเริ่มกม.แรกของเอพิค


บทความที่เกี่ยวข้อง:


>> การขี่จักรยานแบบ EPIC ตอนที่ 2

บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง