ss
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสือหมอบ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เสือหมอบ แสดงบทความทั้งหมด

16 ก.ค. 2557

วิธีการเลือกซื้อจักรยานให้ถูกใจและตรงกับการใช้งาน

|1 ความคิดเห็น
สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้มีโอกาสดี ก็ขอมาอัพเดทบทความ และข่าวสารในวงการจักรยานบ้านเรา และที่สำคัญผมมีบทความดี ๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อจักรยานมาฝากทุกท่านกันครับ


จักรยานใช่สักแต่ว่าปั่นๆ ไปก็จบเรื่อง เพราะจักรยานนั้นมีหลายแบบ และคุณลักษณะของจักรยานแต่ละประเภทก็แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกซื้อจักรยาน ควรจะรู้ความต้องการของตนเองก่อนว่า จะซื้อจักรยานมาเพื่ออะไร
       
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักจักรยานแต่ละประเภทก่อน ซื้อเมื่อแบ่งตามลักษณะและการใช้งานแล้ว แบ่งจักรยานออกได้เป็น 5 ประเภทคือ
       
       1. จักรยานทั่วไป หรือจักรยานแม่บ้าน จักรยานจ่ายกับข้าว แล้วแต่จะเรียก จักรยานประเภทนี้ส่วนมากไม่มีเกียร์ แต่ในทางช่างถือว่ามี 2 เกียร์ คือ เฟืองหน้า 1 ชิ้น และเฟืองหลัง 1 ชิ้น แต่มีสปีดเดียว ซึ่งปัจจุบันมีการพัมนาไปมาก จนมี 3-6 เกียร์ จะขายสำเร็จรูปพร้อมอุปกรณ์ประกอบ เช่น บังโคลน ไฟหน้า ขาตั้ง บังโซ่ อานซ้อนท้าย รวมไปถึงตะแกรงหน้า จักรยานแบบนี้มีน้ำหนักค่อนข้างมาก จึงต้องใช้แรงมาก แต่มีข้อดีคือ ราคาถูก ประมาณ 1,500-3,000 บาท และหาซื้อได้ทั่วไป รวมทั้งเมื่อชำรุดก็มีร้านรับซ่อมทั่วไปด้วย
       
       2. จักรยานพับได้ จักรยานแบบนี้แม้จะของที่ผลิตในประเทศ แต่มักนิยมของที่ส่งมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจักรยานมือสองของญี่ปุ่น แต่ที่เป็นของนอกราคาแพงขนาด 3-5 หมื่นบาทต่อคันก็เป็นที่นิยมของคนบางกลุ่ม ล้อมีขนาดตั้งแต่ 16-20 นิ้ว เพราะหากล้อมีขนาดใหญ่มาก เวลาพับแล้วจะไม่กะทัดรัด จึงไม่เป็นที่นิยม

       3. จักรยานออกกำลังกายและท่องเที่ยว จักรยานประเภทนี้คือจักรยานที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละกิจกรรม และให้ถีบเบาแรง โดยมีระบบเกียร์และลดน้ำหนักรถลง ราคาสูงกว่าจักรยานจ่ายกับข้าว แบ่งตามลักษณะเฉพาะ ดังนี้
       
       - จักรยานเสือหมอบ รูปแบบคล้ายจักรยานแข่ง แต่คุณภาพของอุปกรณ์จะด้อยกว่า ขึ้นอยู่กับราคา ใช้เป็นจักรยานออกกำลังกายได้ดี หรือใช้เป็นจักรยานสำหรับขี่ท่องเที่ยวก็ได้ แต่เหมาะสำหรับขี่ทางเรียบเท่านั้น หาซื้อได้ในราคา 3,000-5,000 บาท
       
       - จักรยานท่องเที่ยว จักรยานแบบนี้ออกแบบสำหรับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ แต่ก็ใช้ขี่ออกกำลังหรือขี่ไปทำงานหรือใช้งานอเนกประสงค์ได้ มักมีตะแกรงท้ายสำหรับวางสัมภาระ ปกติจะมีชุดบังโคลนและขาตั้งติดมากับรถ ระบบเกียร์มีให้เลือกตั้งแต่ 10-27 สปีด
       
       - จักรยานเสือภูเขา เป็นจักรยานที่ออกแบบสำหรับขี่ขึ้นลงเขาโดยเฉพาะ มีโครงสร้างแข็งแรง ยางล้อใหญ่หรืออ้วน ดอกยางใหญ่และหนา ทำให้เกาะพื้นถนนได้ดีเวลาขี่ขึ้นเนินชันๆ ใช้งานได้ในทุกพื้นผิวถนน บางครั้งเรียกจักรยาน ATB (All-Terrain Bike) ระบบเกียร์มีให้เลือกตั้งแต่ 10-27 สปีด จักรยานเสือภูเขานอกจากจะใช้งานขี่สมบุกสมบันแล้ว ยังใช้เป็นจักรยานท่องเที่ยว หรือใช้เป็นจักรยานอเนกประสงค์ได้ จึงเป็นลูกผสมระหว่างจักรยานท่องเที่ยวและจักรยานเสือภูเขาคือ ออกแบบให้ใช้งานสมบุกสมบันได้ แต่เมื่อขี่บนถนนธรรมดาก็สามารถไปได้เร็วด้วย จักรยานลูกผสมจึงมีลักษณะเหมือนเสือภูเขา แต่ยางล้อจะเล็กหรือผอมกว่า ดอกยางไม่ลึก เมื่อขี่ในเมืองจึงเปลืองแรงน้อยกว่า บางครั้งเรียกจักรยานแบบนี้ว่า ซิตี้ไบค์ หรือจักรยานเมือง ราคาตั้งแต่ 4,000-20,000 บาท
       
       4. จักรยานแข่ง คือจักรยานแบบเสือหมอบที่เห็นนักกีฬาฝช้แข่งทั่วไป มีน้ำหนักเบามาก มีเกียร์ตั้งแต่ 1-27 สปีด กรณีมีเกียร์เดียวมักใช้แข่งในลู่หรือเวโลโดรมในระยะทางสั้นๆ ตัวถังเล็ก เพรียวลม ยางรถจะผอมและทนแรงดันได้สูง คือสูบยางได้แข็งมาก และเพื่อให้มีน้ำหนักเบา จึงตัดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เช่น ขาตั้ง บังโคลน ออกทั้งหมด จักรยานชนิดนี้มีราคาแพงมาก ถึงระดับหลายแสนบาท ถ้าระดับแข่งขันภายในประเทศส่วนใหญ่ราคาคันละประมาณ 30,000-50,000 บาท
       
       5. จักรยานฟิกซ์เกียร์ จักรยานประเภทนี้มีสปีดเดียว และเฟืองหลังเป็นแบบตายหรือฟิกซ์ คือปล่อยฟรี หรือปั่นขาทวนกลับไม่ได้ การขี่จึงต้องหมุนขาไปตลอดเวลา เพราะหากไม่หมุนขาเฟืองก็จะไม่หมุน ซึ่งก็คือการเบรกนั่นเอง และถ้าต้องเบรกเร็วๆ แรงๆ ก็กระทืบขาย้อนกลับหลัง เฟืองก็จะหยุดหมุนทันทีและรถก็จะหยุดทันทีเช่นกัน
       

ส่วนการเลือกซื้อจักรยานนั้นจะเน้นประเภทออกกำลังกายและท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจักรยานที่คนกลุ่มใหญ่เลือกใช้ ซึ่งจำเป็นต้องมีเทคนิคในการเลือกซื้อมากกว่าจักรยานทั่วไป โดยมีข้อพิจารณาเบื้องต้นง่ายๆ ดังนี้
       
       1. ขนาด ต้องเลือกให้ขนาดจักรยานเหมาะสมกับขนาดตัวผู้ขี่ จักรยานมีขนาดตั้งแต่ 16-25 นิ้ว เบอร์นี้บอกความยาวของท่อนั่ง (ท่อที่ต่อจากหลังอานลงไปถึงหัวกะโหลก) วิธีเลือกขนาดอย่างง่ายคือให้วัดความสูงเป็นนิ้ว จากพื้นถึงปุ่มสะโพกผู้ขี่ เอาค่าที่ได้ลบออกด้วย 9 จะเป็นขนาดตัวถังจักรยานท่องเที่ยวหรือเสือหมอบ แต่ถ้าจะเลือกซื้อเสือภูเขาให้ลบด้วย 11
       
       2. ตัวถัง (โครง) ให้ดูที่น้ำหนัก ยิ่งเบายิ่งดี (แต่มักราคาแพง)
       
       3. เบรก มีอยู่ 5 แบบ คือแบบดึงข้าง ดึงกลาง แบบคานกระดก แบบวีเบรก และแบบเบรกจาน แบบหลังจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า จกรยานท่องเที่ยวหรือเสือภูเขาควรใช้เบรกแบบนี้
       
       4. เกียร์ ชุดเกียร์ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกใช้ชุดเกียร์ยี่ห้อที่เชื่อถือได้ (สอบถามจากผู้รู้) ถ้างบประมาณน้อย ควรเลือกซื้อยี่ห้อที่เชื่อถือได้แต่เป็นรุ่นเก่า ดีกว่ารุ่นใหม่ล่าสุดแต่ยี่ห้อไม่น่าเชื่อถือ
       
      5. อาน อานแบบเรียวเหมาะสำหรับเสือหมอบ เสือภูเขา และจักรยานท่องเที่ยว ส่วนจักรยานทั่วไปควรเป็นแบบอานป้าน

ไปหน้าแรก  การปั่นจักรยาน

       
 ขอบคุณข้อมูลจากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพประเทศไทย

14 มี.ค. 2557

วิธีป้องกันการเป็นตะคริวระหว่างปั่นจักรยาน

|0 ความคิดเห็น

การป้องกันก่อนที่จะเป็นตะคริวครับ

1. มีการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง
2. ถ้าออกกำลังกายหนักควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะตะคริวมักเกิดในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือคนที่ขาดการออกกำลังกายที่ดีพอ
4. การฝึกการยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ อาจลดโอกาสการเกิดตะคริวได้ เช่น ที่น่องอาจทำได้โดยการกระดกเท้าขึ้นลง หรือเอามือแตะปลายเท้าขณะเหยียดเข่า ปั่นจักรยานอยู่กับ
ที่หรือยืนบนส้นเท้าห่างผนัง 1 ฟุตแล้วเอามือทาบผนังและค่อยๆ เหยียดแขนออกเพื่อยืดกล้ามเนื้อประมาณ 30 วินาทีแล้วทำใหม่ เป็นต้น
5. ระวังไม่ให้ร่างกายขาดเกลือแร่ โดยรับประทานผลไม้ที่มีเกลือแร่สูง เช่น กล้วย
6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
7. ไม่ควรอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ
8. งดสูบบุหรี่
9. พักผ่อนให้เพียงพอ
10.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
11.สวมรองเท้าที่พอเหมาะและอาจใส่ถุงเท้าตอนนอนเพื่อป้องกันการเกร็งของเท้า
12.ผู้สูงอายุควรค่อยๆ ขยับแขนขาช้า ๆ และหลีกเลี่ยงอากาศเย็นมากๆ
13.ในรายที่เป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไข

ไปหน้าแรก  การปั่นจักรยาน

Overtraining ผลเสียของการฝึกซ้อมจักรยานมากเกินไป

|1 ความคิดเห็น
การฝึกซ้อมจักรยานมากเกินไปมีผลร้ายกว่าที่คุณคิด



หลายท่านคงคิดว่าการฝึกซ้อมจักรยานมากๆ ซ้อมหนักๆ ซ้อมทุกวันถึงจะแข่งแกร่ง เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเริ่มปั่นจักรยานใหม่ๆ ผมก็เคยคิดแบบนั้นครับ แต่พอผมโตขึ้น และได้ค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากหนังสือ และ ทางอินเตอร์เน็ต จึงทำให้ผมได้รู้ว่าทำไม่เมื่อก่อนซ้อมทุกวันซ้อมหนักๆ มันไม่ทำให้ผมปั่นจักรยานได้ดีขึ้นเลย อาจจะดีขึ้นบ้างแต่น้อยมาก และการพัฒนาการทางด้านอื่นๆ ก็แย่ไปด้วยครับ เช่นการเรียน อารมณ์ และ ผลเสียทางด้านอื่นๆ อีกเยอะครับ

ไม่ใช่ว่าผมแบ่งเวลาได้ไม่ดีนะครับ แต่หลังจากที่ผมลองมาคิดๆดู และนึกถึงโปรแกรมการฝึกซ้อมในสมัยก่อนแล้วมันก็หนักจริงๆ ครับ คือ ซ้อม 6 วันพัก 1 วัน โดยแต่ละวันไม่ได้มีการกำหนดว่าจะออกไปขี่แบบไหน คว้าจักรยานสูบยางแล้วก็ออกไปขี่ให้เหนื่อยสุดๆ ก็จบการซ้อมสำหรับวันนั้น ถ้าหากเป็นตอนนี้ผมคงป่วยนอนโรงพยาบาลไปแล้ว แต่สาเหตุที่ผมไม่ป่วยในตอนนั้นคงเป็นเพราะผมยังเป็นวัยรุ่นการฟื้นตัวของระบบร่างกายจะทำได้เร็วกว่าคนที่อายุเยอะๆ ยิ่งอายุยิ่งเยอะการฟื้นตัวก็จะยิ่งช้าตามไปด้วย ดังนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราฝึกซ้อมมากเกินไป มีหลักในการสังเกตุดังนี้ครับ

1.อารมณ์ของคุณจะแปรปรวนได้ง่ายโดยไร้สาเหตุ หรือมีอาการหงุดหงิดได้ง่าย รู้สึกหดหู่และเบื่อการฝึกซ้อมจักรยาน ข้อนี้หลายๆ ท่านคงเคยเป็นนะครับ อยู่ดีๆ ก็เบื่อการขี่จักรยานขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่รู้สาเหตุ

2.อัตราการเต้นของชีพจร เพิ่มขึ้นขณะท่านตื่นนอนใหม่ๆ ผมแนะนำให้ทุกท่านจับการเต้นของชีพจรตัวเองตอนตื่นใหม่ๆ วิธีคือ พอเราตื่นปุบยังไม่ต้องลุกจากเตียงครับ ทำการจับชีพจรของท่านก่อนเลยว่าเต้นกี่ครั้งต่อนาทีถ้าหากวัดแล้วอัตราการเต้นของชีพจรของท่านเพิ่มขึ้นเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ของอัตราการเต้นปรกติในแต่ละวันแล้วละก็แสดงว่าท่านเริ่มมีความเสี่ยงต่อการฝึกซ้อมหนักเกินไป หรือ "Overtraining"แล้วละครับ

3.เกิดอาการผิดปรกติทางด้านร่างกายของท่าน เช่นมีอาการท้องเสีย, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อย่างต่อเนื่องพักแล้วก็ยังไม่หายปวดเมื่อย อาการพวกนี้ก็เป็นส่วนที่จะบอกได้ว่าท่านเริ่มฝึกซ้อมหนักเกินไป
สรุปแล้วการฝึกซ้อมหนักเกินไปหรือ "Overtraining" หมายถึงความเหนื่อยล้าเป็นเวลานานและซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของร่างกายลดลงแม้จะมีการฝึกซ้อมจักรยานเพิ่มขึ้น ผลของมันจะรวมถึงความเสียหายของกล้ามเนื้อการกระทำไซโตไคน์, การตอบสนองระยะเฉียบพลัน, โภชนาการที่ไม่เหมาะสมรบกวนอารมณ์ และผลการตอบสนองความหลากหลายของฮอร์โมนความเครียด และถ้าหากท่านตกอยู่ในอาการของการฝึกซ้อมหนักเกินไปแล้วละก็ท่านต้องใช้เวลาในการรักษาอาการนี้เป็นเวลานานเลยครับ โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาน 1-2 เดือนเลยละครับโดยในระหว่างการพักให้ร่างกายฟื้นกลับมาเหมือนเดิมนั้นท่านจะไม่สามารถออกไปขี่จักรยานซ้อมได้เลยครับ จะเห็นได้ว่าผลของมันนั้นร้ายแรงกว่าที่เราคิดไว้เยอะครับ ดังนั้นการรักษาที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดการฝึกซ้อมหนักเกินไปหรือ"Overtraining"นั่นเองครับ



ไปหน้าแรก  เทคนิคการปั่นจักรยาน




 
ขอบคุณบทความจาก: www.thbike.blogspot.com

6 ระดับความหนักของการฝึกซ้อมจักรยานเพื่อความเป็นเลิศ

|0 ความคิดเห็น
หลักการฝึกซ้อมจักรยาน : ระดับความหนักของการฝึกซ้อมจักรยาน (Intensity Training)

นักกีฬาจักรยานที่ฝึกซ้อมจักรยานจะต้องรู้เกี่ยวกับระดับความหนักของการฝึกซ้อมว่าเราควรจะฝึกอยู่ในระดับใดเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพทางร่างกาย และสมรรถภาพของตนเอง ก่อนฝึกต้องอบอุ่นร่างกาย (Warm Up) ก่อนเสมอ และหลักฝึกต้องผ่อนคลาย (Cool Down) เพื่อปรับให้ร่างกายเย็นลง ในการฝึกซ้อมจักรยานจะแบ่งระดับการฝึกดังนี้

1. การฝึกในระดับที่หนักมากที่สุด (Maximun Effort)
เป็นระดับที่มีความเข้มข้นในการฝึกสูงที่สุด การฝึกในรูปแบบนี้ได้แก่การสปริ๊นท์ร่างกายจะทำงานที่ในระดับนี้ได้ระยะเวลา 10-25 วินาที หัวใจจะเต้นด้วยอัตราสูงสุด ร่างกายทำงานโดยไม่ใช้ออกซิเจน แหล่งพลังที่กล้ามเนื้อดึงมาใช้ได้แก่ ATP และ PC

2. การฝึกในระดับที่หนักใกล้สูงสุด (Submaximum Effort) เป็นการฝึกที่ร่างกายสามารถใช้เวลาได้นานขึ้น 25 วินาทีถึง 2 นาที การฝึกขี่จักรยานในระดับนี้ เช่นการขี่จับเวลาไทม์ไทรอัล (TT) ระยะทาง 1,000 เมตรในลู่ หัวใจจะเต้นด้วยอัตราเกือบเท่า 100 % ของอัตราการเต้นสูงสุด การฝึกซ้อมในระดับนี้จะแตกต่างกับระดับแรกที่ว่าร่างกายใช้ “แอนแอโรบิกไกลโคเจน” (Anaerobic Glycogen) เป็นแหล่งพลังงาน

3. การฝึกในระดับสูง (High Inensity) ร่างกายสามารถทำงานในระดับนี้ได้นาน 2-4 นาที การขี่จักรยานระดับนี้เช่นการขี่เปอร์ซูท 300-400 เมตร หัวใจจะเต้นถึงอัตราสูงสุดได้ในระดับความเข้มที่ร่างกายทำงานที่เขตติดต่อระหว่าง “แอโรบิก” (ใช้ออกซิเจน) และ “แอนแอโรบิก” (ไม่ใช้อากาศ) แต่ตอนปลาย ๆ ของการาทำงานร่างกายจะเข้าสู่สภาพการไม่ใช้ออกซิเจนพลังงานที่ใช้มาจากทั้ง แอโรบิกและแอนแอโรบิกไกลโคเจน บางคนเรียกวิธีการฝึกขี่นี้ระดับนี้ว่า “การฝึกอินเตอร์วอลแบบยาว” (Long Interval)

4. การฝึกในระดับความเข้มปานกลาง (Average Intensity) หรือที่เรารู้จักกันดีในการฝึกที่เรียกว่า Anaerobic Threshold (AT) ร่างกายของเราจะสามารถทำงานในระดับนี้ อาจเป็นการขี่ไทม์ไทรอัลระยะทาง 5-20 กิโลเมตร อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ระหว่าง 90-100% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ร่างกายจะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญทำให้เกิดพลังงานที่ระดับนี้ หมายเหตุนักจักรยานจะใช้เวลาส่วนมากฝึกซ้อมที่ระดับความเข้มในระดับนี้และที่ต่ำกว่านี้รวมทั้งการฝึก AT (Anaerobic Theershol Training)

5. การฝึกในระดับเบา (Light Intensity) ร่างกายจะสามารถทำงานในระดับนี้ตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไปการฝึกในระดับนี้คล้าย ๆ กับการขี่ไทม์ไทรอัลระยะทาง 40 กิโลเมตร หรือขี่หนักในระยะที่ใกล้กว่านั้น อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ระหว่าง 80-90% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด การทำงานของร่างกายจะเป็นแบบแอโรบิก (ใช้ออกซิเจน)ตอนแรกจะใช้ไกลโคเจนและต่อมาจะใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงาน พอมาถึงจุดนี้ร่างกายก็จะหมดแรงหรือที่เรียกว่า “บ๊องส์” (Bonks) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ภาวะชนกำแพง” (Hitting the wall)

6. การฝึกในระดับต่ำ (Low Intensity) ร่างกายสามารถทำงานในระดับนี้ได้นานเท่าที่ต้องการเช่นการขี่จักรยานข้ามประเทศสหรัฐอเมริกา (การแข่ง RAMM) ที่ขี่แข่งขันกันในระดับความเข้มระดับนี้สามารถขี่จักรยานได้เก็บตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ระหว่าง 65 – 87% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด แหล่งพลังงานที่ร่างกายนำมาใช้คือไขมัน (Fatty Acid)

หมายเหตุ: โปรแกรมการฝึกซ้อมจักรยานที่สมบูรณ์ควรจะต้องรวมเอาการฝึกซ้อมที่ทุก ๆ ระดับเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสมเพื่อที่จะทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ไปหน้าแรก  การปั่นจักรยาน


บทความโดย: อาจารย์ปราจิน รุ่งโรจน์

12 ม.ค. 2557

ประชาสัมพันธ์ งานประเพณีปั่นจักรยานพิชิตอินทนนท์ ประจำปี 2557

|0 ความคิดเห็น
ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรม "ประเพณีปั่นจักรยานพิชิตอินทนนท์ ประจำปี 2557 ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ คณะกรรมการกำหนดเปิดรับสมัคร ตั้งแต่ วันที่ 2 มกราคม 2557 และสิ้นสุดการรับสมัคร ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557 และที่สำคัญสำหรับท่านที่ยังไม่รู้ ต้องขอบอกมิตรรักนักปั่นกันก่อนว่า งานนี้ไม่มีการลงทะเบียนหน้างานนะครับ เพราะทางผู้จัดงานได้แจ้งไว้ในกระทู้ thaimtb แล้วส่วนท่านใดที่สนใจและยังไม่ได้สมัคร ก็ไปสมัครได้ตามลิ้งค์นี้เลย  http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=54&t=870759  ส่วนผู้เขียน ตอนนี้ก็กำลังฝึกซ้อมเพื่อไปงานนี้โดยเฉพาะ เพราะตั้งใจมาหลายปีแล้วว่าจะพิชิตอินทนนท์ให้สำเร็จ เพราะเคยไปเมื่อครั้งที่ 2 แต่ครั้งนั้นปั่นรุ่นท่องเที่ยว 16 กิโลเมตร จึงยังค้างคาใจมาจนทุกวันนี้ และปีนี้ได้โอกาสอันดีจะต้องพิชิตให้สำเร็จ สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ซ้อมก็เริ่มซ้อมได้แล้วนะครับ เพราะใกล้ถึงวันงานแล้ว แล้วเราไปพบกันที่อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เพื่อทำความฝันให้เป็นจริงครับ



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=54&t=870759

11 ม.ค. 2557

พบกับสุดยอดรถจักรยานพับได้ กับ 10 อันดับสุดฮิตโดนใจวัยโจ๋

|0 ความคิดเห็น
10 รถพับสุดเจ๋ง จากการจัดอันดับของ The Independent

สภาพการจราจรที่ดูไม่ผิดแผกไปจากการจราจลของเมืองใหญ่ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพอย่างทุกวันนี้ ทำให้หลายคนหันมาพึ่งสองขาของตัวเองออกแรงถีบจักรยานสองล้อเลื่อนไหลไปตามซอกเล็กๆ สู่จุดหมายกันไม่น้อย โดยเฉพาะรถจักรยานพับ (folding bike) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก


ด้วยความสะดวกสบายหลายอย่าง ทั้งการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ รวมถึงการพกพาที่ง่ายดาย ไปได้ทุกหนแห่ง ทำให้เจ้าตัวเล็กสองล้อกำลังครองใจคนเมืองที่เบื่อหน่ายความวุ่นวายบนท้องถนน หันมาใส่ใจในชีวิตช้าๆ กันมากขึ้น สำหรับที่ต่างประเทศนั้น ต้องยอมรับว่าหลายประเทศให้ความสำคัญกับการเดินทางด้วยพาหนะสองล้อชนิดนี้กันมาเป็นเวลานาน กระทั่งหันมาใช้จักรยานกันในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นสิ่งปกติ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการจราจรที่บ้านเราน่าลองนำมาปรับใช้กันอย่างจริงจัง หากทำได้คงดีไม่น้อย

สำหรับใครที่กำลังมองหาจักรยานพับไว้ใช้งานสักคัน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี โอกาสนี้เรารวบรวมข้อมูล 10 อันดับรถพับสุดเจ๋ง จากการจัดอันดับของ The Independent สื่อยักษ์ใหญ่แห่งประเทศอังกฤษ มาให้ได้ลองพิจารณากันตามอัธยาศัย ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรกันบ้างนั้น ติดตามกันได้เลย

1.RIDGEBACK ATTACHE


ด้วยโครงที่ทำจากอลูมิเนียม บนวงล้อขนาด 20 นิ้ว ทำให้ Attache มีน้ำหนักเพียง 11.9 kg.ส่วนตะแกรงวางของด้านหลังก็มีความสูงกำลังเหมาะ ทำให้เวลาขี่ เท้าของคุณจะไม่ไปกระทบกับกระเป๋าที่วางไว้อยู่ด้านหลัง ส่วนค่าตัวของเจ้า Attache ตกอยู่ราวๆ 27 k (£599.99)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ridgeback.co.uk

2.DAHON SPEED D7

 

เจ้าตัวเล็กล้อ 20 นิ้ว คันนี้ คุณจะได้สนุกกับการปั่นและเปลี่ยนเกียร์ตามระดับความเร็วตามต้องการถึง 7 ระดับ แม้ว่า DAHON SPEED D7 จะไม่เบาเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่หนักเกินไปนัก (12.3 kg.) แต่จุดเด่นของจักรยานคันนี้ คือมีการป้องกันแบบ Kevlar บนพื้นผิวของล้อที่ช่วยทำให้การขี่ของคุณง่ายขึ้น ไม่ว่าจะขี่บนถนนหรือพื้นขรุขระ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งรถพับชื่อดังที่น่าสนใจซึ่งนักปั่นหลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว กับราคาเฉียดๆ 18k (£399.99) นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนเมือง
ข้อมูลเพิ่มเติม : halfords.com

3.MEZZO D10

จักรยานพับ D10 คันนี้ ช่วยประหยัดพื้นที่ในการเก็บได้มาก เพราะมีล้อขนาดเพียง 16″ เท่านั้น ซึ่งถือเป็นขนาดที่เล็กกว่ารุ่นทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะเป็นล้อขนาด 20″ และยังมีเกียร์มากถึง 10 ระดับอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่จิ๋วและแจ๋วเลยทีเดียว แต่ก็ต้องแรกด้วยค่าตัวราว 43,000 บาท (£975)
ข้อมูลเพิ่มเติม : mezzobikes.com

4.RIDGEBACK RENDEZVOUS



ถือได้ว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นที่ดูคลาสสิก ด้วยโครงที่ทำจากเหล็กและล้อขนาด 20″ และหนักเพียง 12.5 kg.จึงเป็นจักรยานที่ขี่ได้สบายๆ รุ่นหนึ่ง สำหรับราคาค่าตัวตกอยู่ราว 12500 บาทเท่านั้น (£279.99)
ข้อมูลเพิ่มเติม : ridgeback.co.uk

5.DAHON MUSL MAGNESIUM



ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียง 8.3 kg. มาพร้อมกับเกียร์ 9 ระดับ และโครงสร้างจักรยานที่ถูกออกแบบมาอย่างดี จึงทำให้เกิดความสบายขณะปั่น นอกจาก MuSL ยังสามารถพับเก็บได้ง่ายและรวดเร็ว พกพาสะดวกและทนทานเป็นอย่างมากอีกด้วย ราคาโดยประมาณตกอยู่ราว 45,000 บาท (£999.99)
ข้อมูลเพิ่มเติม : dahon.com

6.CARRERA TRANSPORT


หากคุณเป็นมือปั่นสมัครเล่นหรือมีงบประมาณในจำนวนจำกัด จักรยานรุ่นนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ เพราะด้วยราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ราว 13,500 บาท (£299.99) สำหรับจักรยานที่ถูกสร้างมาอย่างลงตัว พร้อมที่วางของด้านหลัง Carrera จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ข้อมูลเพิ่มเติม : halfords.com


7.BROMPTON S2L


ด้วยล้อที่มีขนาด 16 นิ้ว พับเก็บง่าย และกลไกของรถที่ถูกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม มีประสิทธิภาพ ถ้าได้ลองขี่ BROMPTON แล้ว รับรองว่าคุณจะไม่อยากขี่คันอื่นอีกเลย ราคาอยู่ที่ 34,000 (£759)
ข้อมูลเพิ่มเติม : evansscycles.com

8.BROMPTON P6R-X



“X” แค่ชื่อรุ่นก็บอกแล้วว่า BROMPTON P6R-X คันนี้มีตะเกียบล้อหน้า และโครงที่ทำจากวัสดุชั้นดีอย่างไทเทเนี่ยม ที่ทำให้น้ำหนักเบาและดูดี นอกจากนี้มี handgrips ที่ช่วยให้คุณก้มตัวขี่ต้านลมได้อย่างสนุกอีกด้วย แต่ก็ต้องแลกด้วยค่าตัวราว 62,500 บาท (£1,390)
ข้อมูลเพิ่มเติม : brompton.co.uk


9.GIANT HALFWAY 1


จักรยานลูกครึ่งระหว่างแบบพับและแบบ full-size ที่มีข้อต่อที่ช่วยทำให้กางออกง่าย และที่ล้อ ยังเป็นแบบตะเกียบเดี่ยว (monofork) จึงยิ่งทำให้ Giant Halfway กลายเป็นจักรยานพับขนาดกระทัดรัดและช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากเลยทีเดียว ราคาโดยประมาณ 34,000 (£699)
ข้อมูลเพิ่มเติม : giant-bicycles.com

10.MOBIKY GENIUS



เป็นรุ่นที่มีล้อเล็กที่สุด เพียงแค่ 12 นิ้ว เท่านั้น และเมื่อพับเก็บแล้วก็ยิ่งเล็กลงอีก ถึงแม้ว่า MOBIKY GENIUS จะเป็นจักรยานไซส์เล็ก แต่คุณสมบัติของมันไม่เล็กตามขนาด เพราะนอกจากจะขี่สบายในระยะทางไกลแล้ว ก็ยังเป็นอีกช้อยส์หนึ่งที่น่าสนใจของคนที่ชอบขี่จักรยานไปทำงานอีกด้วย ราคาประมาณ 22,000 บาท (£499.99)
ข้อมูลเพิ่มเติม : foldingbikes.co.uk



ไปหน้าแรก  การปั่นจักรยาน





เรียบเรียงจาก http://www.independent.co.uk/

19 ธ.ค. 2556

รีวิว NEILPRYDE ALIZE เสือหมอบแอโรใหม่จากผู้เชี่ยวชาญด้านวินด์เซิร์ฟมายาวนาน

|0 ความคิดเห็น


NeilPryde มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี ในการเลือกสรรอุปกรณ์ให้ผู้เล่นวินด์เซิร์ฟ สามารถโลดแล่นผ่านคลื่นได้อย่างรวดเร็ว จักรยานรุ่นใหม่ชื่อ Alize มุ่นหมายที่จะลดแรงต้านลม เพิ่มประสิทธิภาพจากล้อลงพื้นให้สูงสุดโดยผลจากการใช้อุโมงค์ลมและการคำนวณด้านพลศาสตร์ของการไหล ซึ่งก็คือส่วนด้านหน้าที่ตัดตรงท่อขนาดใหญ่ และรูปทรงเฟรมท่อแบบ Kamm-tail เหมือนหยดน้ำถูกตัดตามหลักอากาศพลศาสตร์

รีวิว NEILPRYDE ALIZE
จากตำแหน่งอานนั่ง เป็นบทเรียนที่ดีว่าสิ่งที่เห็นกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจักรยานอาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เสือหมอบทรงแอโรมักจะมีขนาดท่อที่ลึก ส่วนหน้าที่แคบ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการส่ายด้านข้าง บ่อยครั้งทำให้เฟรมหนักขึ้นและการขี่นุ่มนวลน้อยลง Alize UD เฟรมคาร์บอนมีน้ำหนักเบาทีเดียวคือ 960 กรัม กับขนาด L 56 เซนติเมตร พร้อมกับโครงสร้างเพิ่มความแข็งแรงด้านข้างในท่อบน ท่อล่างและท่อนั่งส่วนต่อของท่อล่างและท่อนั่งทำให้เกิดพื้นที่ร่วมด้านล่าง ขนาดใหญ่สำหรับติดตั้งกะโหลกแบบ Press-Fit ขนาด 30BB โดยมีตะเกียบโซ่แบบค่อย ๆ เรียวลง  ดรอปเอาต์และตะเกียบท่อนั่งประกอบอยู่ด้วยกัน การที่ท่อนั่งด้านหลังหรือตะเกียบท่อนั่งมีขนาดเท่ากับตะเกียบโซ่ด้านล่าง ดูเหมือนจะทำให้การขี่กระด้าง แต่การใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนที่ออกแบบอย่างชาญฉลาดในบริเวณสามเหลี่ยมด้านหลัง ทำให้ส่วนหลังของ Alize นั้นนุ่มสบายเป็นอย่างมากสำหรับจักรยานที่ดูดุดันแบบนี้
ท่ออานแบบแอโรมีให้เลือกแบบ 78 องศา สำหรับ TT หรือจักรยานสำหรับไตรกีฬา และแคลมป์รัดท่ออานถูกซ่อนอย่างประณีตด้วยปลอกยาง เพื่อทำให้ส่วนต่อดูเนียนและเพื่อนกันน้ำเข้า

รีวิว NEILPRYDE ALIZE
เมื่อยืนขึ้นปั่น Alize จะตอบสนองเหมือนโรดโบค์ตัวแรง การออกแบบทรงแอโรไม่ได้ทำให้การตอบสนอง หรือการบังคับควบคุมเปลี่ยนไปเพราะ Alize ยังคงนิ่งและมั่นคงเหมือนที่เราเคยขี่มา แต่ยังให้ความรู้สึกคล่องตัว ไม่กลัวโค้งและให้ความรู้สึกในการเข้าโค้งที่เฉียบคมจากส่วนหน้าที่แข็งแรง ความแข็งแกร่งต่อแรงด้านข้าง ตะเกียบโซ่แบบค่อย ๆ เรียวลงและล้อที่ดี ทำให้ไม่มีความเกรงกลัวต่อแรงโน้มถ่วง และไต่เขาอย่างคล่องแคล่ว

ระบบการทำงานของ Shimano Dura-Ace เป็นสิ่งดีอย่างหนึ่ง ด้วยการเข้าเกียร์ที่ว่องไว เบรกที่ยอดเยี่ยม และเฟรมที่สนับสนุน ระบบ Di2 ล้อ Mavic Ksyrium SLS นั้นเบา เร็ว และไว้ใจได้ในทุกเรื่อง แฮนด์แบบคาร์บอนเมตริกซ์มีส่วนโค้งมาด้านหลังด้วยความสวยงาม และยังดูดซับแรงกระแทกอย่างดี รุ่น XL ที่เราลองทดสอบนั้นยังเฉียดฉิวกับข้อกำหนดของ UCI 6.8 กิโลกรัม ซึ่งมาพร้อมกับความลงตัวด้านสมรรถนะความสะดวกสบาย และราคาที่แข่งขันได้ Alize สมควรจะไปได้ไกลเลยทีเดียว

SPECIFICATION : น้ำหนัก: 6.65 กิโลกรัม (ขนาด XL/58 เซนติเมตร) เฟรม:คาร์บอน เกียร์: Shimano Dura-Ace 9000 เบรก: Shimano Dura-Ace ล้อ: Mavic Ksyrium SLS อุปกรณ์อื่น ๆ สเต็ม: NeilPryde AL Matrix แฮนด์: NeilPryde CF Matrix หลักอาน: คาร์บอน NeilPryde Aeroblade อาน: Selle Italia SLR XP ยาง: Mavic Yksion Pro Powerlink 23 มิลลิเมตร  ราคาประมาณ 245,000 บาท



ที่มาบทความ นิตยสาร CYCLING PLUS THAILAND

รีวิว GIANT TCR SL2 ราคาโดนใจ เสือหมอบพร้อมแข่งเฟรมอะลูมิเนียม

|0 ความคิดเห็น

สำหรับ Giant TCR SL2 หนึ่งในจักรยานที่คืนชีพมาเนื่องในวาระฉลองปีที่ 18 ในปีนี้ จากต้นกำเนิดของ Giant “Total Compact Road” ซึ่งได้เปลี่ยนหน้าตาของการปั่นจักรยานตั้งแต่ ค.ศ. 1995 เมื่อเปิดตัวครั้งแรกโดยมีท่อบนหรือ Top tube ที่ค่อนข้างเอียงลงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยทีเดียว

รีวิว GIANT TCR SL2
ที่ไม่เหมือนกับจักรยานเสือหมอบในระดับราคานี้ แต่ยังเหมือน TCR ตัวดั้งเดิม ก็คือเฟรมของ TCR SL2 ยังคงทำมาจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาและมีอายุในการพัฒนาเกือบสองทศวรรษ แสดงถึงความพยายามในกรสร้างจักรยานเพื่อการแข่งขันและเพื่อนักปั่นที่ให้ความสำคัญกับราคาของจักรยาน และ Giant ยังมีขนาดให้เลือกถึงห้าขนาด หลังจากที่เลิกใช้สามขนาดคลุมทุกไซส์ไปเมื่อหลายปี่ที่แล้ว แต่การเลิกใช้คาร์บอนแล้วเปลี่ยนมาเป็นความชอบพอกับอะลูมิเนียมจะทำได้สำเร็จหรือไม่

เฟรม Aluxx SL เป็นบทเรียนในการสร้างเฟรมอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา และการมีน้ำหนักเพียง 1,050 กรัมนั้นทำให้เบากว่าเฟรมคาร์บอนทั่วไปในระดับราคานี้และยังมีคุณสมบัติพิเศษของ Giant Overdrive หรือเฮดทูบเฟรมด้านหน้า ซึ่งมีขนาดท่อรีดลงจาก 11/8 นิ้ว เป็น 1 นิ้ว เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการบิดในส่วนหน้า กะโหลก Press-Fit Powercore กว้าง 86 มิลลิเมตรหรือท่อเฟรมส่วนล่างขนาดใหญ่ยังช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของเฟรมให้คงอยู่ตลอดทั่วทั้งเฟรมอีกด้วย สับจานและตีนผีของ Shimano 105 ให้ความคล่องตัว และการเข้าเกียร์ที่มั่นใจได้ พร้อมกับ hood จับที่สบายมือ Giant ตัดชิ้นส่วนบางชิ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายลงโดยใช้ก้ามเบรก R561, ชุดจานหน้าแบบกะทัดรัด R565, และเฟืองหลัง Tiagra 12-28 ซึ่งน่าสนใจสำหรับนักปั่นทั่ว ๆ ไป ถึงแม้ว่านักปั่นที่ชอบการแข่งขันอาจคิดว่าไม่ค่อยแรงพอ
รีวิว GIANT TCR SL2

ล้อจักรยาน Giant P-R2 ออกแบบโดยร่วมกับวิศวกรจาก DT-Swiss เพื่อให้มีคุณสมบัติอันเยี่ยมยอดทั้งภายในและน้ำหนักขอบล้อ ผลลัพธ์ของชุดล้อซึ่งจับคู่กับยาง Giant P-SLR1 ทำให้สมดุลทั้งความแข็งแกร่งและความสบาย ยางมีโครงสร้างที่ค่อนข้างนุ่ม และส่วนผสมของยางหน้าที่นุ่มกว่าจะให้การเกาะถนนที่ดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์

เมื่อถึงความเร็วที่ต้องการ TCR ควบคุมจังหวะได้อย่างดี ทำให้ไต่ลงเขาได้นิ่งและให้ความมั่นใจในการปั่นให้หนักขึ้นด้วย เมื่อลูกขึ้นปั่นสามารถเร่งขึ้นได้อย่างเฉียบคม โดยมีการบิดตัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากส่วนหน้าและถึงแม้จะมีขนาดเฟรมสามเหลี่ยมด้านหลังที่ ค่อนข้างแคบ บวกกับส่วนท่อนั่งที่ตัดเว้าเข้าไปตามล้อหลัง ก็ยังถือได้ว่าให้ความนุ่มนวลในการขี่ดีทีเดียว นี่คือข้อได้เปรียบอันยอดเยี่ยมของการทำขนาดเฟรมที่ย่อส่วนลง โดยส่วนท่ออานนั่งคาร์บอนที่ยื่นออกมาช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเจอเข้ากับสภาพ ถนนที่ย่ำแย่ ผลลัพธ์ก็คือตัวเฟรมที่เหมาะสำหรับผู้ขี่ที่เข้ามาสู่กีฬาการแข่งจักรยานไม่ ว่าเพื่อความเร็ว หรือเพื่อระยะทาง หรือแม้แต่ผู้ขี่ที่ต้องการความสะดวกสบายพร้อม ๆ กับการทำระยะสะสมในการขี่

ถ้า จะคว้าเฟรมคาร์บอนที่ราคานี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ง่ายไป เพราะเฟรมอะลูมิเนียมที่คุณภาพนี้จะให้อะไรมากกว่าเฟรมคาร์บอนราคาระดับเท่า ๆ กันจะให้ได้ ด้วยเฟรมที่เบาออกแบบอย่างดี ใช้งานได้สะดวกสบาย แค่มีข้อติติงเพียงเล็กน้อยจากอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ เท่านั้น

SPECIFICATION: น้ำหนัก 8.35 กิโลกรัม (ขนาด L) เฟรมอะลูมิเนียม Giant Aluxx SL ตะเกียบ: คาร์บอนรีดจาก 11/8 เป็น 1 นิ้ว เกียร์: Shimano 105 พร้อมจาน Shimano 565 ขนาด 50/34T เบรก: Shimano R561 ล้อ: Giant P-R2 อุปกรณ์อื่น ๆ: แฮนด์และสเต็ม Giant Connect SL ฐานเบาะ: Giant Vector Composite อาน: Giant Performance Road ยาง: P-SL1 23 มิลลิเมตร แบบหน้าและหลังไม่เหมือนกัน  ราคาประมาณ 62,000 บาท

11 มี.ค. 2556

อาชีพเมสเซนเจอร์จักรยาน Bicycle Messenger

|0 ความคิดเห็น

Bicycle Messenger

ทุกครั้งที่เราอยู่บนท้องถนนและได้เห็นบุคคลอาชีพหนึ่งซึ่งใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ จากลักษณะการแต่งกายด้วยสีสันคล้ายคลึงกันทำให้ทราบว่าพวกเขาคือ “พนักงานส่งเอกสาร” หรือที่นิยมเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “เมสเซนเจอร์” 


การทำงานแข่งกับเวลาทำให้ต้องใช้พาหนะความคล่องตัวสูง เพื่อลัดเลาะไปตามแถวรถยนต์ขณะจราจรติดขัดให้ถึงที่หมายตามกำหนด แต่จะมีใครนึกบ้างหรือไม่ว่านอกจากมอเตอร์ไซค์ที่เราเห็นกันเจนตาแล้ว จักรยานก็เป็นพาหนะของบรรดาเมสเซนเจอร์เหมือน เคยเป็นมาก่อนจะมีมอเตอร์ไซค์และยังใช้กันอยู่ในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐฯและยุโรป

เรื่องของเรื่องคือหลังจากมนุษย์คิดค้นจักรยานเพื่อทุ่นแรงในการเดินทางเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 จักรยานได้ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันหลายหน้าที่ หนึ่งในหน้าที่เท่าที่มนุษย์จะคิดได้คือการส่งเอกสารระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในหนังสือประวัติศาสตร์จักยานที่เดวิด เฮอร์ลิฮี (David Herlihy มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1930-1931) ตีพิมพ์เมื่อปี 2005 ได้ระบุไว้ว่าอาชีพเมสเซนเจอร์จักยานนี้มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แล้ว ตลาดหุ้นแห่งกรุงปารีสได้เริ่มใช้พาหนะชนิดนี้เพื่อส่งเอกสารในทศวรรษ 1870 บริษัทเวสเทิร์นยูเนียนคือเจ้าแรกที่นำจักยานส่งเอกสารมาใช้ในมหานครนิวยอร์ก และบริเวณย่านการค้า, ชุมชนหนาแน่นทั่วไป นับแต่นั้นอาชีพเมสเซนเจอร์จักรยานก็กำเนิดขึ้นในสหรัฐ เริ่มที่นิวยอร์ค

"มันไม่กินหญ้า ไม่ป่วย น้ำหนักเบา ไม่ต้องบำรุงรักษามากเพราะอุปกรณ์ไม่สลับซับซ้อน ไม่มีเกียร์!"

ที่กล่าวข้างต้นนั้นจริง และในเมื่อจักรยานคือพาหนะและมนุษย์คือต้นกำเนิดแรงขับเคลื่อน จึงสามารถเลือกสรรมันได้หลายรูปแบบ ทั้งจักรยานถนน (มีแฮนด์เหมือนเสือหมอบ แต่โครงสร้างและระบบขับเคลื่อนแตกต่าง), จักรยานไฮบริด (ลูกผสมระหว่างเสือภูเขากับจักยานถนน ใช้ขี่ในเมือง), จักรยานภูเขา หรือแม้แต่บีเอ็มเอ็กซ์ แม้จะมีเกียร์ให้ใช้อย่างสะดวกสบาย แต่พนักงานส่งเอกสารปัจจุบันยังเลือกใช้จักรยานเฟืองเดี่ยวอยู่ จักรยานแข่งในลู่ก็เป็นที่พิสมัยด้วยเหตุผลคือน้ำหนักเบา ราคาไม่แพง ขี่ง่าย และแทบไม่ต้องซ่อมเลยนอกจากจะหยอดน้ำมันและจารบีเป็นครั้งคราว

นอกจากจักรยานแล้วเมสเซนเจอร์ยังใช้อุปกรณ์ประกอบอีกชนิด คือเป้สะพายเฉียงใส่เอกสารและสิ่งของอื่นแบบมีสายสะพายแถบเดียวพาดจากไหล่ข้างหนึ่งมายังเอวอีกข้าง เพื่อความคล่องตัวในการสวมและถอด ล้วงหยิบของได้โดยไม่ต้องจอดจักรยานหรือถอดเป้จากตัว แทบไม่ต่างจากกระเป๋าของคนอาชีพเดียวกันในบ้านเราที่ใช้มอเตอร์ไซค์ แต่ความพิเศษของเป้เฉพาะอาชีพนี้คือมันมีช่องใส่ของที่ออกแบบไว้สนองความต้องการยามเคลื่อนไหว ให้เจ้าของล้วงหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือวิทยุพูดสองทางได้ด้วยมือข้างเดียว ขยายขนาดได้ด้วยซิปเพื่อให้ขนของได้มาก ประมาณว่าเป้ใหญ่ ๆ นั้นมีความจุถึง 50 ลิตรหรือ 3,000 ลูกบาศก์นิ้ว ยัดกระดาษ A4 ได้ 10 ห่อสบาย ๆ!

มหานครนิวยอร์คคือเมืองที่ใช้เมสเซนเจอร์จักรยานหนาตาที่สุด เนื่องจากการจราจรคับคั่ง แม้แต่มอเตอร์ไซค์ที่ว่าคล่องตัวแล้ว ยังแทรกตัวลำบาก การสื่อสารในหมู่พนักงานส่งเอกสารใช้อุปกรณ์เท่าที่หาได้ทั้งโทรศํพท์เคลื่อนที่หรือวิทยุพูดสองทาง (วอล์คกี้-ทอล์คกี้) สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือกุญแจล็อกจักรยานกันหาย สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของคนอาชีพนี้คือมีโซ่พร้อมกุญแจคล้องไว้รอบเอว ไม่เพียงแต่ใช้ล็อกแต่ยังใช้เป็นอาวุธได้อีกสำหรับคนขับรถยนต์ผู้มีทีท่าคุกคาม (ใช้ฟาดตัวถัง, กระจก ฯลฯ)

ด้วยพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน ทั้งอินเตอร์เน็ตและอี-เมลได้ทำให้ผู้ประกอบอาชีพส่งเอกสารด้วยจักรยานบางตาลง แต่พัสดุภัณฑ์บางชิ้นที่ส่งทางอิเลคทรอนิคส์ไม่ได้ก็ยังต้องใช้แรงงานมนุษย์ อาชีพส่งเอกสารด้วยจักรยานก็ยังมีให้เราได้พบเห็นอยู่ประปราย มันเป็นอาชีพสำหรับคนหนุ่มสาว, นักศึกษาผู้รักความท้าทายและตื่นเต้นบนท้องถนน แม้อัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของคนอาชีพนี้จะค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีผู้หลงใหลความท้าทายกับการขี่จักรยานในเมืองประกอบอาชีพนี้อยู่

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จากนิตยสารสปอร์ตสตรีท

19 ก.พ. 2556

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุยเช่นคุณ

|0 ความคิดเห็น

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย


10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

          เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ผู้คนบ้านเราหันมาขี่จักรยานกันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะขี่เพื่อความสนุกสนาน, ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง หรือออกกำลังกายก็ตาม ซึ่งการขี่แต่ละประเภทก็จะใช้จักรยานที่แตกต่างกันออกไป แต่หากพูดถึงการขี่จักรยานเพื่อใช้ออกกำลังหรือแข่งขัน "จักรยานเสือหมอบ" คือตัวเลือกที่นักปั่นจำนวนมากเลือกใช้ ซึ่งก็มีหลากหลายสไตล์ให้ได้ขี่กัน โดยวันนี้เราได้นำข้อมูลจักรยานเสือหมอบเจ๋ง ๆ จากเว็บไซต์ mensfitness.com มาแนะนำให้ได้ทราบกัน

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 1.  Tarmac Mid Compact

          เสือหมอบดีไซน์เฉียบคันนี้ ตัวโครงรถทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา แฮนด์จับที่กระชับถนัดมือ และมีเกียร์ที่ได้รับการแต่งมาอย่างดี จึงเป็นจักรยานที่เหมาะสำหรับใช้ในการแข่งขันเอามาก ๆ เพราะสามารถเร่งสปีดให้เร็วได้ไม่ยาก ทั้งนี้สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,750 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 52,000 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 2. Bianchi Vertigo 105

          จักรยานแบรนด์ดังจากประเทศอิตาลี นับว่าเป็นเสือหมอบอีกรุ่นที่นักปั่นหลาย ๆ ท่านน่าจะให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากจะมีรูปลักษณ์สวยเด่นสะดุดตาแล้ว อุปกรณ์ที่นำมาใช้ประกอบตัวรถก็ยังเป็นของคุณภาพดี รับประกันในเรื่องของความแข็งแรงทนทานได้อย่างไร้ที่ติ โดย Bianchi Vertigo 105 ปักป้ายขายในราคา 2,000 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 59,000 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 3. Cannondale CAAD10 5 105

          แม้โครงรถที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์จะได้รับความนิยมในหมู่นักปั่นจักรยานทุกวันนี้ เนื่องด้วยน้ำหนักที่เบาของมัน จึงทำให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้งานจักรยานที่ตัวโครงทำจากคาร์บอนไฟเบอร์กันมาก ทว่า Cannondale CAAD10 5 105 กลับเลือกใช้อะลูมิเนียมมาทำโครงรถแทน และถึงแม้มันจะมีน้ำหนักมากกว่าโครงจากคาร์บอน ทว่าเสือหมอบรุ่นนี้ก็ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างไหลรื่นมากกว่า คันที่ทำจากอะลูมิเนียมรุ่นอื่น ๆ เสียอีก โดยจำหน่ายอยู่ในราคา 1,730 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 51,200 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 4. Cervélo R3

          เสือหมอบรุ่น R3 จาก Cervélo คือจักรยานที่ทีมนักปั่น Garmin-Sharp Barracuda ใช้ขี่ในการแข่งขันจักรยานชื่อดังระดับโลกอย่าง ตูร์ เดอ ฟร้องซ์ (Tour de France) ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยหากนักขี่จักรยานทางไกลจะเลือกใช้กัน เพราะของเข้าขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแกร่งทนทาน พร้อมลุยบนถนนหลากหลายรูปแบบ บวกกับเกียร์เร่งสปีดที่เสกความเร็วได้ดั่งใจ แต่นั่นก็แลกมากับราคาที่สูงไม่เบาเลย โดยจำหน่ายในราคา 2,600 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 77,000 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 5. Giant Defy Advanced 1
          จักรยานเสือหมอบจาก Giant รุ่น Advanced 1 น่าจะเป็นหนึ่งในช้อยส์อันดับต้น ๆ ของนักปั่นหลาย ๆ ประเภท เพราะส่วนประกอบต่าง ๆ ของตัวรถนั้นใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้เป็นส่วนประกอบของยานอวกาศและรถแข่ง F1 นั่นเอง แถมโครงรถก็ยังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน ซึ่งแน่นอนล่ะว่า ผู้ที่ได้ขับขี่จะต้องทึ่งกับความเบาของมันแน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ขับขี่ได้กับเส้นทางหลาย ๆ แบบ เช่น ขี่ขึ้นเนินเขา, ขี่ในสนามที่ต้องใช้ความเร็ว หรือขี่ระยะทางไกลก็ได้ทั้งนั้น โดยแขวนป้ายราคาขายไว้ที่ 3,150 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 93,200 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 6. Planet X N2a SRAM Red

          สำหรับนักปั่นคนใดที่กำลังมองหาจักรยานคู่ใจที่เน้นความเร็วเป็นพิเศษ คงต้องเล็งมาที่เสือหมอบรุ่นนี้กันซะแล้ว เพราะทางผู้ออกแบบนั้นอาศัยหลักอากาศพลศาสตร์ในการดีไซน์รถ เพื่อดึงศักยภาพของรถออกมาให้ได้มากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมราคาถึงได้ดีดตัวพุ่งสูงไปถึง 4,000 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 118,500 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 7. Orbea BLi2

          มาต่อกันด้วยจักรยานที่เน้นความเร็วกันอีกรุ่นต่อกันเลยดีกว่า กับ Orbea รุ่น BLi2 เพราะทางผู้ผลิตใช้หลักอากาศพลศาสตร์ในการออกแบบเหมือนกับคันที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นเรื่องการเร่งสปีดจึงถือเป็นจุดเด่นสำคัญของ BLi2 เลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้นรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูเท่ไม่หยอก เรียกได้ว่าเด่นทั้งเรื่องคุณภาพและหน้าตาเลยล่ะ โดยสนนราคาขายอยู่ที่ 4,200 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 124,000 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 8. Trek Domane 6.9
          สำหรับเสือหมอบรุ่นนี้ น่าจะเหมาะกับการปั่นจักรยานในระยะทางไกล เพราะมีการดีไซน์เบาะหนังและโครงรถให้อยู่ในตำแหน่งที่สมดุลกัน เพื่อให้นักปั่นรู้สึกสะดวกสบาย ไม่เมื่อยในยามที่ต้องขี่จักรยานทางไกล พร้อมแฮนด์จับที่มีความกระชับ ดังนั้น ไม่ว่าระยะทางจะใกล้หรือไกลแค่ไหนก็สบายหายห่วง โดย Domane 6.9 รุ่นนี้ปักป้ายขายในราคา 6,930 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 205,000 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 9. Pinarello Dogma 65.1 Think 2

          บริษัทผู้ผลิตและตกแต่งจักรยานจากประเทศอิตาลี Pinarello นำโครงรถของตัวเอง มาเนรมิตเสือหมอบดีไซน์เท่รุ่น Dogma 65.1 Think 2 ขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยโครงรถจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา และมีความแข็งแกร่งในตัว จึงทำให้ผู้ที่มองหาเสือหมอบที่เน้นคุณภาพเป็นหลักเลือกใช้บริการสินค้าจากทาง  Pinarello นั่นเอง ทั้งนี้ เฉพาะตัวโครงรถอยู่ที่ 5,300 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 157,000 บาท)

10 สุดยอดจักรยานเสือหมอบ สำหรับนักปั่นขาลุย

 10. Scott Plasma Premium

          ปิดท้ายกันด้วยจักรยานเสือหมอบที่ราคาแพงที่สุดในการจัดอันดับครั้งนี้กับ Scott Plasma Premium เมื่อมองจากภายนอกแล้วก็ต้องยอมรับในทันทีเลยว่า มันเท่มาก ๆ!! รับรองใครเห็นก็ต้องอยากจับจองเป็นเจ้าของกันแน่นอน นอกจากนี้ความสามารถอันขึ้นชื่อลือชาของ Scott Plasma Premium ก็อยู่ที่ความเร็วแบบติดจรวดของมันนี่เอง (ไม่นับความสามารถของคนขี่นะ) เพราะโครงรถทำด้วยซูเปอร์ แอโร คาร์บอน ซึ่งรับรองเลยว่าผู้ขี่จะต้องสัมผัสถึงความเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทว่าความเพอร์เฟคท์ของมันก็ต้องแลกมากับราคามหาโหดด้วยเช่นกัน โดยจำหน่ายในราคา 9,000 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 266,000 บาท) นับว่าแพงมากทีเดียวสำหรับจักรยานหนึ่งคัน

          เป็นยังไงกันบ้าง หลังจากที่ได้ทราบข้อมูลและเห็นหน้าค่าตาของจักรยานเสือหมอบที่เรานำมาฝากกัน ถูกใจกันบ้างไหมครับ? เชื่อว่าต้องตอบว่าสวยกันบ้างสักคันสองคันแหละนะ แต่ที่ไม่สวยก็คงเป็นเรื่องของราคานี่สิ แพงสุดติ่งเลยทีเดียว!!

ที่มา men.kapook.com

29 ม.ค. 2556

หวนอดีตกับจักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์

|0 ความคิดเห็น

หวนอดีตกับจักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์

จักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์

จักรยานมูซาร์จไบค์ เป็นแบรนด์น้องใหม่ในวงการจักรยาน เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา (2011) จากประเทศเนเธอแลนด์ เน้นทำจักรยานในแนวย้อนยุคหรือวินเทจ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจักรยานในยุคปี 60, 70, 80 ซึ่งจักรยานรูปแบบนี้ในช่วงปีดังกล่าว นอกจาเป็นจักรยานขี่ทั่วไปตามท้องถนน ขี่ขึ้นเขา ขี่ใต่เขา และใช้ขี่ในลักษณะต่างๆ ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง 
จักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์

ซึ่งในปัจจุบันมีจักรยานออกมาหลายประเภทตามแต่จะใช้งาน มูซาร์จไบค์จึงถือเป็นการสร้างจักรยานย้อนยุคขึ้นมาใหม่ โดยคัดสรรเฟรม ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่ดีที่สุด มาประกอบเข้าด้วยกัน ขณะนี้วางจำหน่ายแล้ว 4 รุ่นได้แก่ รุ่นบอลล์รูม จักรยานผู้หญิง ด้วยคอนเซ็ปท์ขี่ง่ายใช้ได้ทุกวัน ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ให้นึกถึงผู้หญิงในชุดสีแดง รุ่นบับเบิ้ลบี เป็นทรงจักรยานที่นิยมใช้แข่งขันจักรยานประจำปีเนเธอแลนด์ในช่วงปี 80 โดดเด่นสะดุดตาด้วยสีเหลือง พร้อมสัญลักษณ์สเปซ อินเวเดอร์ (เกมส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคปี 80) รุ่นซิลเวอร์ เซิฟเฟอร์ ดิบๆ ด้วยสีอลูมิเนียม รุ่นสไตร์ค โฉบเฉี่ยวทันสมัยในยุคปี 80 ด้วยสีขาวแดง ราคาเฉลีย 56,000 – 82,000 บาท (1,400 – 1,800 ยูโร) นอกจากรุ่นมาตรฐานเหล่านี้แล้ว มูซร์จไบค์ ยังรับประกอบตามใบสั่งซื้อ และบริการโมจักรยานเก่าให้เป็นรถจักรยานวินเทจสุดเท่ห์อีกด้วย
จักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์
จักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์
จักรยานวินเทจ มูซาร์จไบค์

สวยไหมครับเพื่อน ๆ กับจักรยานแนววิทเทจ ย้อนยุคจาก มูชาร์จไบค์ คงถูกใจนักจักรยานแนวอนุรักษ์ไม่น้อยนะครับ...

ที่มา : Moosach Bikes

บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง