ss

21 ก.พ. 2555

เปิดตำนาน 125 ปี จักรยาน Bianchi ตอนที่ 4 (จบ)

|0 ความคิดเห็น

ปี 2002 ทีม Bianchi Coast Union โดย Alex Zulle  ได้แชมป์จากรายการแข่ง Tour of Switzerland

ปี 2003 Jan Ullrih ได้ตำแหน่งที่ 2 ในรายการ Tour de France แต่เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ความมีสปิริตของนักกีฬาให้เป็นแบบอย่างด้วยการให้โอกาสคู่แข่งที่กำลังขับเคี่ยวกันเพื่อชิงความเป็นแชมป์เปี้ยน เขาหยุดรอ Lance Armstrong ที่ประสบอุบัติเหตุให้กลับเข้ามาแข่งขันกับเขาต่อทั้ง ๆ ที่เขาสามารถออกนำไปเข้าเส้นชัยได้อย่างง่ายดาย

ปี 2004 Bianchi ฉลองอายุครบรอบ 120 ปี นับเป็นผู้ผลิตจักรยานรายเดียวของโลกที่เก่าแก่ที่สุด และยังเปิดดำเนินการอยู่ ในปีนี้ Julien Absalon ควบ Bianchi กำชัยชนะในสองรายการใหญ่ คือ แชมป์เหรียญทอง MTB Cross Country จากกีฬาโอลิมปิคที่กรุงเอเธนท์ ประเทศกรีซและแชมป์ในรายการ World Championship ที่ประเทศฝรั่งเศส และ Thomas Dietsch ได้แชมป์จากรายการจักรยาน Marathon European Championship ที่ประเทศโปแลนด์ อีกชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของทีม Bianchi Alessio ในปีนี้ก็คือเมื่อ Magnus Backstedt ได้แชมป์ในรายการ Paris Roubaix และ Christian Cominelli จากทีม Bianchi Agos ได้แชมป์ในรายการ Cycle Cross Italian Championship


ปี 2005 โลกได้รู้จักกับแชมป์โลก UCI Pro Tour ของปีนี้ Danilo Di Luca แห่งทีม Liquigas Bianchi เขาชนะสองสเตจใน Giro d’Italia และได้แชมป์จากรายการ Amstel Gold race และ La Flence Wallonne และ Bianchi ได้เป็นสปอนเซอร์หลักให้กับทีม Liquigas จนถึงปี 2007

ปี 2008 จนถึงปี 2010 Bianchi ได้ทุ่มเทเงินทุนและงานวิจัยให้กับรถรุ่นใหม่ ๆ และนำไปทดลองใช้ทีมแข่ง Bianchi Barloword ltd และทีม Bianchi Flaminia และปี 2011 Bianchi ได้ส่ง Oltre รถแข่งสายพันธุ์ใหม่ที่ใช้เวลาในการพัฒนาและวิจัยมากว่า 3 ปีเต็ม ให้กับทีม Andoni ลงประเดิมคว้าชัยในสนามแรกของปี Tour de Langawi และส่งให้ Rujano แห่งทีม Andoni ชนะในสองสเตจใน Giro d’Italia จากความสำเร็นในครั้งนี้ในปี 2012 Bianchi Oltre ได้รับเลือกให้เป็นรถประจำทีม Vacancolie สำหรับการแข่งใน UCI Pro Tour ของปี 2012 และ 2013 และทีม Andoni Giocattoli ใช้เป็นรประจำทีมสำหรับปี 2012 อีกด้วย และล่าสุด Oltre จะเป็นรถสำหรับทีมแข่งใหม่ล่าสุดที่ได้ประเทศ Columbia เป็นสปอนเซอร์อีกด้วย

15 ก.พ. 2555

เปิดตำนาน 125 ปี จักรยาน Bianchi ตอนที่ 3

|0 ความคิดเห็น
ขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีอุปสรรคครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อประเทศอิตาลี่ต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามครั้งนี้เป็นเหตุให้โรงงานของ Bianchi ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตร โรงงานที่ใช้ในการผลิตจักรยานเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่ในปี 1946 โรงงานของ Bianchi ได้กลับคืนฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ Edoardo Bianchi ได้เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปีนี้เช่นกัน แต่กิจการของเขาก็ได้รับการดูแลและสืบทอดต่อมาโดยสมาชิกในครอบครัว

ปี 1949 ทีมแข่งจักรยาน Bianchi ที่นำโดย Fausto Coppi ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลกจักรยานด้วยการเป็นนักแข่งคนแรกของโลกที่ได้ครองแชมป์ในรายการแข่ง Tour de France และ Giro d’Italia ได้ในปีเดียวกัน และพ่วงด้วยการเป็นแชมป์ในรายการ World Championships อีกด้วย ในปี 1952 Coppi ตอกย้ำความยิ่งใหม่ให้ Biachi อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ทั้ง Tour de France และ Giro d’Italia ได้ในปีเดียวกันเป็นครั้งที่สอง ได้รับการยกย่องให้เป็นทีมแข่งที่ดีที่สุดในเวลานั้น

ในปี 1965 โลกได้รู้จักกับ Felicia Gimondi แห่งทีม Bianchi ที่สามารถครองแชมป์ Tour de France ได้ในปีนี้ ในอีกสองปีต่อมา 1967 Gimondi ก็คว้าแชมป์ใน Giro d’Italia ได้เป็นผลสำเร็จ ปี 1973 Felicia Gimondi เป็นแชมป์อีกครั้งในรายการ World Championships ปี 1980 กิจการของ Bianchi ได้ร่วมเข้ากับบริษัทจักรยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของอิตาลี่ Piaggio Grop

หลังจากที่ Bianchi ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในยุโรปก็เริ่มขยับขยายมาตั้งสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในปี 1981 ปี 1982 Bianchi เปิดสายการผลิต จักรยาน BMX ออกจำหน่ายในยุโรปเป็นครั้งแรก และปี 1984 เริ่มสายการผลิตจักรยานเสือภูเขาออกจำหน่ายในอเมริกาและยุโรปเป็นครั้งแรก

ต่อมาในปี 1985  Bianchi ได้ผลิตรถที่ชื่อว่า Centernario เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปีของ Edoardo Bianchi เป็นรถที่นักสะสมต้องหามาประดับบารมีไว้อีกคัน ซึ่งรถทั้งคันใช้สีพิเศษ Black nickel-plate ผลิตออกมาในจำนวนจำกัดเป็น Limited Edition

ปี  1986 ทีม Bianchi โดย Moreno Argentin คว้าแชมป์ในรายการ World Championships ปี 1987 Bianchi ได้เข้าชื้อกิจการของ Puch ซึ่งเป็นผู้ผลิตจักรยานรายใหญ่ของประเทศออสเตรีย

ปี 1991 นักแข่งเสือภูเขา Bruno Zenchi ใช้รถ Bianchi คว้าแชมป์ในรายการ MTB World Championships ในประเภทดาวน์ฮิลล์ได้เป็นครั้งแรก

ปี 1992 Gianni Bugno ของทีม Bianchi ก็ได้แชมป์ในรายการ World Championships ได้อีกครั้ง

ปี 1993 นักแข่งเสือภูเขา Dario Acquaroli สามารถกำชัยชนะในทีม Bianchi ด้วยการเป็นแชมป์ในรายการ MTB World Championships ประเภทครอสคันทรีได้เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน 

ปี 1995 Bianchi ได้สร้างมิติใหม่ให้กับนักจักรยานโดยออกรถต้นแบบ City Project สำหรับใช้ในเมืองที่ชื่อว่า Spillo

ปี 1997 Bianchi ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ของยุโรป Cycle Europe A.B. Group ที่มี Mr.Salvatore Grimaldi เป็นเจ้าของ

ต่อมาในปี 1998 อีกครั้งที่โลกจักรยานต้องจารึกไว้เมื่อ Marco Pantani สามารถคว้า 2 แชมป์ได้ในปีเดียวกันทั้งในรายการ Tour de France และ Giro d’Iltalia และนักแข่งอีกคนของทีม Stefano Grazelli  คว้าแชมป์ในรายการ Tour of Switzerland และทีมเสือภูเขาของ Bianchi ที่มี Marco Velo ชนะในรายการ Italian Time Trial  พร้อม ๆ กับทีมเสือภูเขา Bianchi-Martini สามารคว้าแชมป์ในสนามย่อย ๆ มาได้อีกหลายสนาม

ปี 2000 ปีทองของทีมจักรยานเสือภูเขา Bianchi-Motorex เมื่อ Jose Hermida คว้า 3 แชมป์มครองในปีเดียวกัน ในปีนี้เอง Bianchi ได้มอบหมายให้ Felicia Gimondi อดีตแชมป์โลกจักรยานมาทำทีมแข่งจักรยานเสือภูเขาและเขาได้รับเด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Julien Absalon เข้าร่วมทีมต่อมาในปี 2001 ทีมแข่งจักรยานเสือภูเขาของ Bianchi สามารถคว้าแชมป์ในรายการ European Championships โดย Jose Hermida และ Julien Absalon ได้แชมป์ในรุ่น U23 ของรายการ MTB World Cup และรายการ France Cup

12 ก.พ. 2555

เปิดตำนาน 125 ปี จักรยาน Bianchi ตอนที่ 2

|0 ความคิดเห็น
ปี 1899 กับก้าวแรกของการแข่งขันจักรยาน ครั้งแรกของโลก Gran Prix of Paris World Championship นักแข่งคนแรกของ Bianchi คือ Giovanni Tommaselli ลงแข่งขันครั้งนี้ด้วยรถจักรยาน Bianchi เขาได้คว้าชัยชนะมาครองและการแข่งขันรายการนี้คือต้นกำเนิดของการแข่งจักรยานทางไกลที่โด่งดังในวันนี้อย่าง Tour de France ด้วยความโดดเด่นของนวัตกรรมที่นับว่าก้าวหน้ามากในยุคนั้น ทำให้รถจักรยาน Bianchi ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานแสดงสินค้าในเมืองมิลานในปี 1900


ต่อมาในปี 1901 ก็ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานแสดงสินค้าที่ Bologan Trade Fair และรางวัล Grand Prix Awarded จากงานแสดงสินค้าในกรุงโรม ด้วยรางวัลที่ได้รับมามากมายทำให้ธุรกิจจักรยานของ Bianchi ได้ก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว และเป็นจุดกำเนิดของกิจกรรมกีฬาแบบใหม่ในอิตาลี่ ที่ให้ทั้งความสนุกสนานในการเดินทางทั้งในเมืองและชนบท นอกจากนี้ยังเป็นการออกกำลังกายได้ในเวลาเดียวกัน ในปี 1911 รายการแข่ง Giro d’italia ได้กำเนิดขึ้น และ Carlo Galitti แห่งทีม Bianchi ก็กำชัยชนะในรายการนี้มาได้

ต่อมา Bianchi ได้ขยายธุรกิจไปสู่แขนงอื่นด้วยการผลิตรถสามล้อติดเครื่องยนต์ จักรยานยนต์และรถยนต์ตามกระแสของอุตสหกรรมยานยนต์ ที่กำลังก่อกระแสอย่างร้อนแรงในยุคเริ่มต้น แต่สายการผลิตจักรยานก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 1905 กิจการของ Bianchi ได้เติบใหญ่และได้เปลี่ยนรูปแบบการบริหารมาเป็นบริษัทผู้ผลิตยานพาหนะทั้งจักรยานและรถยนต์อย่างเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อ Edoardo Bianchi & Co มีคณะกรรมการบริหารทั้งหมด 7 คน โดยมี Edoardo Bianchi เป็นประธานผู้บริหาร กิจการได้ขยายและเติบโตไปได้ด้วยดีจนกระทั่งปี 1914 ประเทศอิตาลี่ได้เข้าสู่มหาสงครามโลกครั้งที่ 1 Bianchi ได้รับการว่าจ้างจากทางกองทัพให้ผลิตจักรยานสำหรับทหารราบกว่า 30,000 คันเพื่อใช้ในการรบและไม่นับรวมจักรยานที่ชื่อ Bersagliera สำหรับทหารที่มีช็อคหลังกันสะเทือน ทั้งยังสามารถพับเก็บติดตัวไปด้วยได้ และยังสามารถบรรทุกยุทโธปกรณ์ในการรบได้อีกด้วย นับเป็นจักรยานพับและจักรยานฟูลซัสรุ่นแรกของโลก ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1

ในปี 1915 Bianchi ได้เริ่มต้นหันมาทำจักรยานสำหรับแข่งขันอย่างเต็มตัว โดยผลิตจักรยานรุ่น M ออกมาให้นักแข่งชุดแรกของทีม Bianchi คือ Costante Girardengo และ Tano Belloni โดยมี Erminio Cavedini เป็นผู้จัดการทีม ลงแข่งในรายการ Milano-Sanremo ซึ่งการแข่งครั้งนี้ Bianchi ก็ได้รับชัยชนะ


หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงทวีปยุโรปก็ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง ทำให้โรงงานประสบปัญหาชะงักงันในการผลิตแต่ Bianchi ก็ยังสามารถประคับประคองกิจการของเขาให้ผ่านพ้นมาได้ มาจนถึงปี 1935 Edoardo Bianchi ได้นำเอาระบบการเปลี่ยนเกียร์ของจักรยานแบบใช้ก้านโยกที่ประดิษฐ์คิดค้นโดย Tulio Campagnolo มาใช้เป็นคนแรก และระบบเกียร์นี้ได้เป็นต้นแบบของจักรยานเสือหมอบยุคใหม่ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Campagnolo และช่วยให้ Giuseppe Olmo นักแข่งชื่อดังสามารถทำลายสถิติเก่าและสร้างสถิติใหม่ของระยะทางในการปั่นในเวลา 1 ชั่วโมงได้เป็นผลสำเร็จในปีนี้อีกด้วย

ในช่วงปี 1939 ทีมแข่งจักรยานของ Bianchi ได้คว้าชัยชนะในหลายรายการในอิตาลี่ ปี 1940 เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของ Bianchi ที่เขาสร้างชื่อเสียงด้วยชัยชนะ ในรายการแข่งครั้งสำคัญด้วยการเป็นแชมป์ของรายการแข่ง Giro d’italia ได้เป็นครั้งแรก และตอกย้ำด้วยการเป็นแชมป์ของรายการนี้ในปี 1942 อีกด้วย...

9 ก.พ. 2555

เปิดตำนาน 125 ปี จักรยาน Bianchi ตอนที่ 1

|0 ความคิดเห็น
จักรยาน Bianchi สุดยอดจักรยานของอิตาลี่

จักรยาน Bianchi
Bianchi จักรยานแบรนด์นี้เป็นที่รู้จักกันดีของนักปั่นทั่วโลก Edoardo Bianchi คือผู้ให้กำเนิดจักรยาน Bianchi ที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ Edoardo Bianchi เกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1865 ในซอยแคบ ๆ ข้างโบสถ์ Duomo ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี่ ด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะยากจนทำให้เขาถูกนำไปเลี้ยงดูในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองมิลานจนเติบใหญ่ ถึงกระนั้นในวิกฤติก็ยังมีโอกาส เพราะที่นี่เป็นที่ ๆ เขาได้รับการศึกษาขั้นต้นและวิชาช่าง เขาได้รับการฝึกฝนทางด้านงานช่างตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ นับได้ว่าเป็นก้าวแรกที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาตั้งแต่นั้นมา

พอย่างเข้าสู่วัยรุ่นเขาถูกส่งตัวไปทำงานในโรงงานด้วยค่าแรงที่ถูกแสนถูก แต่โรงงานนั้นก็เป็นที่ที่เขาได้ฝึกฝนทักษะและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากงานช่างที่เขาถนัด จวบจนอายุได้ 20 ปี ในปี 1885 หนุ่ม Bianchi ได้ตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตหนุ่มโรงงานออกมาทำร้านรับซ่อมลูกปืนสำหรับรถลาก กระดิ่งประตู โดยเปิดร้านอยู่ที่บ้านเลขที่ 7 ถนน Via Nirone ในเมืองมิลานด้วยความเป็นคนพิถีพิถันบวกกับฝีมือด้านงานช่างที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่วันเด็ก เขาจึงเลือกแต่วัสดุดี ๆ มาทำให้ลูกค้าที่นำของมาซ่อมจนทำให้เลื่องลือกันไปปากต่อปากถึงร้านของเด็กหนุ่ม Bianchi ในเวลานั้นรถจักรยานที่ทำโดย Ernest Michaux นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส แบบที่มีล้อไม่เท่ากันล้อหน้าใหญ่ล้อหลังเล็ก ได้ถูกนำมาใช้ในเมืองมิลาน ซึ่งรถจักรยานรุ่นแรก ๆ ล้อจะทำจากไม้และที่นั่งก็อยู่สูงทำให้ใช้งานได้ค่อนข้างลำบาก ทำให้เขามีความคิดว่าน่าจะปรับปรุงแบบให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงออกแบบรถคันแรกของเขาเองโดยการลดขนาดของล้อหน้าให้เล็กลงเท่ากันกับล้อหลัง พร้อมกับใส่ชุดโซ่และบันไดขับล้อหลังที่ออกแบบใหม่โดย Vincent นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสอีกคน และนี่คือจุดกำเนิดของจักรยานยุคใหม่ที่ต่อมากลายเป็นต้นแบบให้กับคนอื่นนำไปทำตามแบบของเขา
Edoardo Bianchi
ความคิดสร้างสรรค์ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาได้ดัดแปลงใส่ชุดลูกปืนเข้าไปที่คอทำให้รถจักรยานสามารถบังคับเลี้ยวได้ง่ายขึ้นและใช้เฟรมแบบใหม่ รูปสามเหลี่ยมอันเป็นต้นกำเนิดของเฟรมรูปเหลี่ยมเพชรของจักรยานในยุคปัจจุบันนี้ ต่อมาในปี 1888 Bianchi ได้ปรับปรุงจักรยานของเขา ให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นด้วยการนำเอายางที่พองลมได้มาหุ้มล้อของจักรยาน (Air Filled Rubber Tires) ซึ่งคิดค้นโดยนักประดิษฐ์ชาวสกอตแลนด์ชื่อ John Boyd Dunlop (ผู้ให้กำเนิดยาง Dunlop ในปัจจุบัน) ด้วยความคิดนี้ทำให้รถจักรยานของเขาสามารถวิ่งได้เร็วขึ้น นุ่มขึ้นและไม่มีเสียงดังให้เป็นที่รำคาญอีกต่อไป และพร้อม ๆ กันกับที่เขาตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ใหม่ที่ถนน Via Bertani เพื่อขยายสายการผลิตจักรยานและส่งออกขายอย่างเป็นล่ำเป็นสันด้วยความแปลกใหม่และความทันสมัยในเวลานั้นทำให้จักรยานของ Bianchi ได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างท่วมท้น ทำให้ตัดสินใจขยายโรงงานเพิ่มขึ้นอีกในเวลา 5 ปี ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ถนน Via Borgetto ความนิยมในจักรยาน Bianchi ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนทำให้รถ Bianchi ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานแสดงสินค้า Milan’ Esposizioni Riunite และรางวัล Testimonial of Merit จากงาน Expositional International du Salon de Cycles ที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส

จักรยาน Bianchi
ในปีต่อมาเขาได้รับเชิญจากสมเด็จพระราชินี Margherita ได้ทรงขอให้ Bianchi เปิดสอนการปั่นจักรยานขึ้นในพระราชวัง Monza โดยเขาได้ทำจักรยานขึ้นถวายต่อสมเด็กพระราชินี ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทางสีเขียวให้เป็นสีของจักรยาน Bianchi เป็นครั้งแรกโดยใช้สีเขียวของพระเนตรของพระธิดาเจ้าหญิง Celeste (ซีเลสเต้) และเขาได้ใช้สีเขียวนี้เป็นสีประจำตัวของจักรยาน Bianchi มาตั้งแต่บัดนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้ด้วย ความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้เจ้านายพระองค์อื่น ๆ ได้หันมาสนใจการปั่นจักรยานตามอย่างพระราชินีเช่นกัน ด้วยความดีความชอบในครั้งนี้ทำให้ในปี 1895 กษัตริย์ อัลเบอร์โต้ ได้พระราชทางเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในลำดับที่ 969 นอกจากนี้ยังแต่งตั้งให้ Edoardo Bianchi เป็นผู้ผลิตจักรยานประจำพระราชวังอย่างเป็นทางการ และพระราชทางพระบรมราชานุญาตให้ใช้สัญลักษณ์ของราชวงศ์ คือตรานกฟีนิกซ์กับมงกุฎเพชรเป็นเครื่องหมายประทับบนรถของ Bianchi ทุกคันจนถึงทุกวันนี้

ที่มา: นิตยสาร RACE BICYCLE

4 ก.พ. 2555

จักรยาน FUJI OUTLAND 1.0

|0 ความคิดเห็น
จักรยาน FUJI OUTLAND 1.0

Fuji แบรนด์จักรยานที่สร้างชื่อและตำนานไว้กับจักรยานประเภทเสือหมอบไว้มากมาย ล่าสุดก็ยังคว้าแชมป์รายการ Giro de talia 2011 ถึงจะมีผลงานโดดเด่นกับจักรยานเสือหมอบทางเรียบ ก็ไม่ได้ทิ้งทางฝุ่น ยังคงให้ความสำคัญและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นล้อ 29er หรือแม้แต่จักรยานแบบ Full Suspension เนื่องด้วยแนวโม้มของกระแสความนิยมและการใช้งานที่ครอบคลุมได้มากกว่า

Fuji Outland 1.0 เป็นจักรยานแบบ Full suspension ที่ใช้ระบบกระเดื่องแบบ 3D ที่มาพร้อมกับช่วงยุบ 120 มม. ซึ่งลดลงจากปี 2011 ที่เป็น 125 มม. เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จับคู่กับช็อคหน้าที่มีช่วงยุบ 120 มม. สำหรับการปั่นแบบครอสคันทรี่ ที่ต้องการความสบายมากกว่าความเบา ตัวถังอลูมิเนียม A6-SL ท่อคอแบบ 2 ขนาด เพื่อความแข็งแรงและการควบคุมที่แม่นยำ ชุดขับเคลื่อนรุ่นคุ้มค่าทั้งราคาและประสิทธิภาพ รถจักรยานใน Series นี้มีทั้งล้อ 26 นิ้วและ 29 นิ้ว ในแบบล้อ 29 นิ้ว มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่นคือ OUTLAND 1.0 ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุด, รุ่น 2.0 และ รุ่น 3.0 ความต่างของทั้ง 3 รุ่นนี้อยู่ที่อะไหล่ที่นำมาประกอบและสีเท่านั้น

จักรยาน Ellsworth Truth SST.2

|0 ความคิดเห็น
จักรยาน Ellsworth Truth SST.2

Ellsworth Truth SST.2 เป็นจักรยานแบบ Full Suspension ที่มีช่วงยุบ 4 นิ้ว Ellssworth ระบบ ICT ออกแบบโดย Tony Ellsworth และลิขสิทธิ์ของ Ellsworth ได้ชื่อว่าเป็นระบบที่ช่วยในการประหยัดแรงได้มาก ระบบสามารถลดการสูญเสียแรงที่ถ่ายทอดจากแรงกดลูกบันไดได้สูงสุดโดยมีค่าการสูญเสียโดยเฉลี่ยเพียง 1.5% เท่านั้น ผ่านการทดสอบทั้งในห้องปฏิบัติการและแบบจำลองออกมาทดสอบในสนามทดสอบจริง ๆ เพื่อที่จะให้คำมั่นได้อย่างเต็มร้อยว่าท่าจะได้ขี่จักรยานที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด

พร้อมด้วยงานฝีมีที่ทรงคุณค่าจัดได้ว่าเป็นที่สุดของจักรยานบนโลกใบนี้ที่เงินสามารถซื้อได้ ตัวเฟรมทำจากอลูมิเนียมเกรดสูงสุดเท่าที่มีในโลกนี้ ใช้เครื่องกลึง CNC ที่ทันสมัยที่สุดแบบ 5 แกน ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ที่ให้ความแม่นยำในการผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ใช้ผลิตชิ้นส่วนยานอวกาศ และใช้ช่างฝีมือที่มีมาตรฐานในการทำงานสูงที่สุดเท่าที่มีในปัจจุบัน เชื่อมเฟรมทีละเฟรมอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ผลงานออกมาปราณีตที่สุด

Ellsworth บรรจงทำสีจักรยานแบบสีอโนไดซ์และทำ Laser-etched grapihics อย่างประณีตบรรจงด้วยมือ แม้ว่าจะทำให้เกิดต้นทุนที่แพงขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ทำเพื่อที่จะต้องการให้ Ellsworth เป็นรถจักรยานที่สมบูรณ์แบบที่ทำให้ผู้ครอบครองภาคภูมิใจไปจนชั่วชีวิต เราตั้งใจที่จะทำเฟรมด้วยงานฝีมือที่สุดปราณีต ในจำนวนจำกัด สำหรับผู้ที่แสวงหาจักรยานที่ดีที่สุดเท่าที่อำนาจของเงินสามารถหาซื้อได้

บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง