มาทำความรู้จักกับจักรยาน Full-Suspension
เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้วที่จักรยานเสือภูเขาได้กำเนิดเกิดขึ้นมาในโลก นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาการให้จักรยาน ชนิดนี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังแตกสาขาออกไปเพื่อตอบสนองการขี่แต่ละประเภทให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับการใช้งาน ในเส้นทางแบบต่าง ๆ
จักรยานเสือภูเขาแต่เดิมจะเป็นตะเกียบตายและมีตัวเฟรมไร้ระบบกันสะเทือนซึ่งจักรยานแบบนี้หากนำไปใช้ในเส้นทางขรุขระมาก ๆ จะทำให้ผู้ขี่อ่อนล้าจากแรงกระแทกในเส้นทางต่อมา จึงได้มีการคิดค้นระบบกันสะเทือนแทนตะเกียบขึ้นเพื่อลดแรงกระแทกรวบทั้งเพื่อยืดเกาะเส้นทางได้ดี
ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาวิทยาการด้านวัสดุศาสตร์ ได้ทำให้จักรยาน Full Suspension มีน้ำหนักเบาลงกว่าอดีตมาก นอกจากนี้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบยังช่วยให้จักรยานชนิดนี้สูญเสียแรงในการปั่นน้อยลง รวมถึงเทคโนโลยีของช็อคอัพจักรยานที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน ทั้งสามตัวแปรดังกล่าวคือเหตุผลที่ทำให้จักรยาน Full Suspension กลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าในอดีต
ในเวลาต่อมาได้มีการประดิษฐ์ระบบกันสะเทือนหลัง ติดเฟรมให้จักรยานมีระบบกันสะเทือนทั้งหน้า-หลัง เรียกว่าจักรยาน Full Suspension (นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Full-sus) ซึ่งเกาะยึดเส้นทางได้ดี และยังสามารถลดแรงกระแทกได้ด้วย ในช่วงแรก ๆ Full sus มีน้ำหนักมาก และสูญเสียแรงในการปั่น ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยม
ในการแบ่งประเภทของจักรยาน Full Sus จะแบ่งตามลักษณะการขี่ และช่วงระยะยุบตัวของระบบกันสะเทือน โดยทั่ว ๆ ไปจักรยาน Full sus จะมีระยะยุบของระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้าและด้านหลังเท่ากัน เพื่อให้เดความสมดุลในการทำงานของระบบ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อขี่ ปัจจุบันจึงแบ่งประเภทของจักรยาน Full suspension ได้ดังนี้
1. Cross Country : มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนไม่เกิน 4 นิ้ว เฟรมมีท่อบนยาว ใช้สำหรับเส้นทางที่มีค่อนข้างขรุขระ เน้นการขี่ทำความเร็วสูง มีน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนอาจจะมีระบบล็อคกันยุบตัว เพื่อการขี่บางลักษณะ เฟรมมีความชันของท่อคอประมาณ 70 องศา
2. Trail Bike: มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนประมาณ 5 นิ้ว ใช้ขี่ในเส้นทางขรุขระมากกว่าแบบแรกแต่ยังทำความเร็วได้ดี
3. All Mountain : มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนประมาณ 6 นิ้ว ออกแบมาสำหรับเส้นทางขรุขระมากพอสมควร เฟรมมีท่อบนสั้นเน้นการควบคุมง่ายไม่เน้นทำความเร็วสูง นอกจากนี้ตัวรถยังมีความแข็งแรงมากกว่าสองแบบแรก สามารถกระโดดกระโจนได้บ้าง มีความชันของท่อคอประมาร 67-8 องศา
4. Free Ride: มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนประมาณ 7 นิ้ว ออกแบบมาให้ตัวถังมีความแข็งแรงสูง สามารถขี่โดดกระโจนลงจากที่สูงได้ เน้นความคล่องตัวมีความชันของท่อคอประมาณ 66-77 องศา
5. Down Hill: มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนตั้งแต่ 8 นิ้วหรือมากกว่านั้น โดยทั่วไปจะนิยมใช้ช็อคหน้าแบบสองแผงคอ (Double Crown) เฟรมออกแบบมาให้มีความแข็งแรงสูง รองรับแรงกระแทกได้ดี ทำความเร็วได้สูง และยังควบคุมรถได้ง่าย ความชันของท่อคอประมาณ 65-66 องศา
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าจักรยาน Full Suspension แต่ละประเภทถูกออกแบบมาให้ใช้กับเส้นทางเฉพาะของแต่ละแบบ ดังนั้นในการเลือกจักรยานจึงต้องคำนึงถึงรูปแบบการใช้งานส่วนใหญ่ของท่าน เพื่อการใช้งานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ
เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้วที่จักรยานเสือภูเขาได้กำเนิดเกิดขึ้นมาในโลก นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาการให้จักรยาน ชนิดนี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังแตกสาขาออกไปเพื่อตอบสนองการขี่แต่ละประเภทให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับการใช้งาน ในเส้นทางแบบต่าง ๆ
จักรยานเสือภูเขาแต่เดิมจะเป็นตะเกียบตายและมีตัวเฟรมไร้ระบบกันสะเทือนซึ่งจักรยานแบบนี้หากนำไปใช้ในเส้นทางขรุขระมาก ๆ จะทำให้ผู้ขี่อ่อนล้าจากแรงกระแทกในเส้นทางต่อมา จึงได้มีการคิดค้นระบบกันสะเทือนแทนตะเกียบขึ้นเพื่อลดแรงกระแทกรวบทั้งเพื่อยืดเกาะเส้นทางได้ดี
ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาวิทยาการด้านวัสดุศาสตร์ ได้ทำให้จักรยาน Full Suspension มีน้ำหนักเบาลงกว่าอดีตมาก นอกจากนี้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบยังช่วยให้จักรยานชนิดนี้สูญเสียแรงในการปั่นน้อยลง รวมถึงเทคโนโลยีของช็อคอัพจักรยานที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน ทั้งสามตัวแปรดังกล่าวคือเหตุผลที่ทำให้จักรยาน Full Suspension กลับมาได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าในอดีต
ในเวลาต่อมาได้มีการประดิษฐ์ระบบกันสะเทือนหลัง ติดเฟรมให้จักรยานมีระบบกันสะเทือนทั้งหน้า-หลัง เรียกว่าจักรยาน Full Suspension (นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Full-sus) ซึ่งเกาะยึดเส้นทางได้ดี และยังสามารถลดแรงกระแทกได้ด้วย ในช่วงแรก ๆ Full sus มีน้ำหนักมาก และสูญเสียแรงในการปั่น ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยม
ในการแบ่งประเภทของจักรยาน Full Sus จะแบ่งตามลักษณะการขี่ และช่วงระยะยุบตัวของระบบกันสะเทือน โดยทั่ว ๆ ไปจักรยาน Full sus จะมีระยะยุบของระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้าและด้านหลังเท่ากัน เพื่อให้เดความสมดุลในการทำงานของระบบ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อขี่ ปัจจุบันจึงแบ่งประเภทของจักรยาน Full suspension ได้ดังนี้
1. Cross Country : มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนไม่เกิน 4 นิ้ว เฟรมมีท่อบนยาว ใช้สำหรับเส้นทางที่มีค่อนข้างขรุขระ เน้นการขี่ทำความเร็วสูง มีน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนอาจจะมีระบบล็อคกันยุบตัว เพื่อการขี่บางลักษณะ เฟรมมีความชันของท่อคอประมาณ 70 องศา
2. Trail Bike: มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนประมาณ 5 นิ้ว ใช้ขี่ในเส้นทางขรุขระมากกว่าแบบแรกแต่ยังทำความเร็วได้ดี
3. All Mountain : มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนประมาณ 6 นิ้ว ออกแบมาสำหรับเส้นทางขรุขระมากพอสมควร เฟรมมีท่อบนสั้นเน้นการควบคุมง่ายไม่เน้นทำความเร็วสูง นอกจากนี้ตัวรถยังมีความแข็งแรงมากกว่าสองแบบแรก สามารถกระโดดกระโจนได้บ้าง มีความชันของท่อคอประมาร 67-8 องศา
4. Free Ride: มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนประมาณ 7 นิ้ว ออกแบบมาให้ตัวถังมีความแข็งแรงสูง สามารถขี่โดดกระโจนลงจากที่สูงได้ เน้นความคล่องตัวมีความชันของท่อคอประมาณ 66-77 องศา
5. Down Hill: มีระยะการยุบตัวของระบบกันสะเทือนตั้งแต่ 8 นิ้วหรือมากกว่านั้น โดยทั่วไปจะนิยมใช้ช็อคหน้าแบบสองแผงคอ (Double Crown) เฟรมออกแบบมาให้มีความแข็งแรงสูง รองรับแรงกระแทกได้ดี ทำความเร็วได้สูง และยังควบคุมรถได้ง่าย ความชันของท่อคอประมาณ 65-66 องศา
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าจักรยาน Full Suspension แต่ละประเภทถูกออกแบบมาให้ใช้กับเส้นทางเฉพาะของแต่ละแบบ ดังนั้นในการเลือกจักรยานจึงต้องคำนึงถึงรูปแบบการใช้งานส่วนใหญ่ของท่าน เพื่อการใช้งานได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ