ss

21 ก.ย. 2553

เสือภูเขาดาวน์ฮิลล์จากอดีตสู่ปัจจุบัน

          กว่า 20 ปีที่แสนยาวนาน เต็มไปด้วยเรื่องราว และประวัติศาสตร์มากมาย วันนี้เราจะเข้ามามองย้อนไปถึงพัฒนาการของรถจักรยาน นักกีฬา และเทคโนโลยีที่มีส่วนทำให้กีฬานี้กลายเป็นที่คลั่งไคล้ของคนที่หลงใหลกีฬาจักรยานแบบ Extreme นี่ไปทั่วโลกกัน
          หากใครที่เคยอยู่ในยุคแรกเริ่มของกีฬาดาวน์ฮิลล์ จ่าจะยังจำความรู้สึกของฟันกระทบกัน เพราะระบบกันสะเทือนที่มีช่วงยุบแสนสั้น แถมยังต้องลุ้นกับระยะเบรกแสนยาว ของระบบเบรกรุ่นเก่า หากมองย้อนกลับไป ด้วยรถและอุปกรณ์ อีกทั้งเครื่องแต่งกายแบบรัดรูป ที่มีในสมัยนั้น นักกีฬาที่รอดตามมาจนถึงทุกวันนี้ได้ถือว่าสุดยอดจริง ๆ อันที่จริงต้องขอบคุณจุดเริ่มต้นอันแสนสุ่มเสี่ยงในวันนั้น ที่ทำให้เรามีพัฒนาการ และเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดจนทำให้เรามีวันนี้
         ครั้งแรกของการแข่งขันดาวน์ฮิลล์ที่ได้มีการบันทึกไว้น่าจะเริ่มต้นที่รายการ Repck Series ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาในปลายยุค 70 ก็ยังไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก จวบจนมาถึงปี 1988 การแข่งขันเริ่มสร้างความเร้าใจมากขึ้น ในรายการ Kamikaze DH ซึ่งจัดขึ้นที่ภูเขา Mammoth นักกีฬาสามารถทำความเร็วพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 60 กม./ชม.โดยใช้ถนนแนวกันไฟบนภูเขาเป็นเส้นทางแข่งขัน ไม่มีเนินโดด ไม่มีแบงค์ ดิ่งกันล้วน ๆ การแข่งขันดาวน์ฮิลล์จริง ๆ น่าจะเริ่มจากรายการนี้นี่เองนักกีฬาในสมัยนั้นก็ได้แก่ Tomac,Overend,Herbold,Futado,Henderson และ Jason McRoy
          รูปแบบการแข่งขันในยุคนั้นก็จะคล้าย ๆ กับสมัยนี้คือเป็นแบบแพ้คัดออก ความเร็วเฉลี่ยในการแข่งขันค่อนข้างสูง อุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ ภาพของการแข่งขันมักจะได้ขึ้นปกนิตยสารจักรยานในยุคนั้นเป็นประจำ ตัวรถจักรยานนั้นค่อนข้างเบสิคเอามาก ๆ หากเปรียบเทียบกับสมัยนี้ก็ประมาณรถครอสคันทรี่นั่นแหละ ซึ่งต่างจากรถจักรยานดาวน์ฮิลล์ในยุค 90 ที่เน้นไปที่ระบบกันสะเทือนอย่างสิ้นเชิง จำได้ว่าตอนนั้น John Tomac ขี่ให้กับ Yeti มีภาพขึ้นปกนิตยสาร Mountain Bining UK เสียด้วย ในยุคนั้นมักมีอะไรประหลาดให้เห็นอย่างเช่น Doug Braduty ใส่โช๊ค Manitau คู่กับแฮนด์ที่ใส่บาร์เอนด์ จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเพราะสภาพสนามในยุคนั้น ทั้งคนและรถจึงเป็นอย่างที่เห็น
           ต่อมาเมื่อการแข่งขันร้อนแรงมากขึ้น รูปแบบสนามเริ่มเปลี่ยนไป เทคโนโลยีของระบบกันสะเทือนจึงเข้ามีบทบาทอย่างชัดเจน จนรถจักรยานทุกคันกลายเป็นรถ Full Suspension หรือ 2 โช๊คไปโดยปริยาย รายการแข่งก็มีมากขึ้นทั้งทางฝั่งอเมริกา ได้แก่ รายการ NORBA Series และอังกฤษ ได้แก่ รายการ UK”SBMBF จนกระทั่งได้รับความนิยมระบาดไปทั่วโลก และถูกพัฒนาไปเป็นรายการใหญ่ระดับโลกอย่าง World Cup Series ที่รวบรวมเอาเหล่าบรรดานักดิ่งชั้นหัวกระทิจากทั่วโลกไว้ด้วยกัน และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือเม็ดเงินมหาศาล ผู้ผลิตจักรยานเองก็เริ่มสร้างรถที่เป็นรถดาวน์ฮิลล์แท้ ๆ ส่งเข้ามาแข่งขันกันจนทำให้รถกระเทย รถลูกผสมประหลาด ๆ สูญพันธุ์ไปโดยปริยาย หากมองลึกเข้าไปเราจะเห็นว่าแทบจะทุกอย่างที่ทำให้วงการนี้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าล้วนเกิดมาจากสนามแข่งขันแทบทั้งสิ้น น่าแปลกที่บ้านเรากลับไม่เห็นความสำคัญตรงนี้ มองเพียงแค่ว่ามันเป็นกีฬาที่เล่นกันอยู่ในป่าในเขา คิดเอาแต่ว่าไม่มีใครเห็น ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของโลกจักรยานก็บอกอยู่อย่างชัดเจน
          แบรนด์ที่สร้างงานออกแบบสุดคลาสิค จนถูกจารึกไว้ได้แก่ Saacen, Kona,Sintesi ,Iron House ในสมัยก่อนชื่อว่า Verlicchi (อาจจะไม่คุ้นหูนัก ในยุคนี้ แต่ชื่อดังที่กล่าวมานั้น อาจจะพัฒนาหรือขยายกิจการเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ที่แตกต่างออกไป) และผู้ขี่มันคือนักดิ่งชาวอเมริกันชื่อ Dave Cullinan ซึ่งเป็นคนแรกที่ชนะเลิกการแข่งขัน โดยใช้รถแบบ 2 โช๊ค และทำให้รถยี่ห้อ Verlicchi โด่งดังมาในยุคนั้น รถรุ่นนี้ออกแบบมาให้ใช้โช๊คร่วมกับ Marzocchi ที่มีช่วงยุบ 2 นิ้ว ทั้งหน้าและหลัง ใช้จุดหมุนเดี่ยวร่วมกับ Swingarm แบบให้ตัวได้ ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ดูทันสมัยมากในยุดนั้น
          จากนั้นระบบกันสะเทือนก็กลายมาเป็นหัวใจของรถประเภทนี้ และทำให้เกิดการแข่งขันจากผู้ผลิตขึ้นด้วยเช่นกัน Rockshox ได้พัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังขยายช่วงยุบให้มากขึ้นในรุ่น Mag 21 ขึ้น ทำให้แบรนด์อื่นอย่าง Marzocchi และ Manitau ก็อยู่นิ่งไม่ได้ จนในที่สุดจักรยานจากค่ายอเมริกันนามว่า Mountain Cycle ก็ประกาศตัวจักรยานรุ่น San Andreas (เริ่มคุ้นหูกันบ้างแล้วซิ) เป็นจักรยานคันแรกที่มีช่วงยุบมากถึง 6 นิ้ว และให้งานได้ดี ต่อมาในช่วงกลางยุค 90 GT ก็ประสบความสำเร็จกับระบบเฟรมแบบใหม่ที่เรียกว่า RST เป็นระบบที่แก้ไขปัญหาระหว่างการเบรกกับการยุบตัวของรถ พร้อมกับได้ตัว Nicolas Vouilloz นั่งดิ่งอัฉริยะชาวฝรั่งเศสขี่ให้ ซึ่งจากจุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญอีกช่วงหนึ่งของวงการ

ยุคทองของนักดิ่งชาวฝรั่งเศส
          ในปี 1955 Nicolas Vouilloz ได้แชมป์ Senior World Champs เป็นครั้งแรก จากครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยหันหลังกลับ เดินหน้าคว้าแชมป์เรื่อยมา และได้ย้ายไปสังกัดกับทีม Sunn Chippie ซึ่งเป็นทีมที่มีส่วนอย่างมากในการเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของรถจักรยานดาวน์ฮิลล์ไปตลอดกาล ต่อมาในปี 1996 นักดิ่งสาวชาวฝรั่งเศส Anne Caroline Chausson เริ่มต้นการสะสมแชมป์ของเธอ และทำให้ทีม Sunn กลายเป็นทีมที่ร้อนแรงที่สุดในยุคนั้นทั้งยังได้ว่าจ้างให้จอมอัจฉริยะ Oliver Bosserd เข้าช่วยจัดการเรื่องระบบกันสะเทือนเพื่อความลงตัวกับจักรยานสั่งตัดพิเศษให้กับ Nicolas Vouilloz โดยเฉพาะจากนั้น Nicolas Vouilloz กว่าคว้าแชมป์ติดต่อกันถึง 10 สมัย ส่วนสาวชาวฝรั่งเศศ Anne Caroline นั้นทำไว้ถึง 12 สมัย

           และผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการอีกครั้งนั่นคือ หนุ่มลายสักชาวอเมริกัน Shaun Palmer จากทีม Smithfield ผู้กำชัยชนะอันดับ 2 ในรายการ World Champs ในปี 1996 ทีเมือง Cairns ประเทศออสเตรเลีย เขาใช้จักรยาน Intense M1 ที่ออกแบบโดยชายอเมริกันและที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือมันเป็น M1 ที่คาดลวดลายสไตล์ Troy Lee Desings แบบไม่เหมือนใคร และแน่นอนมันได้รับความสนใจมากมายจากเหล่าบรรดานักดิ่ง ไม่เพียงเฉพาะจักรยานเท่านั้น Shaun Palmer ยังมาพร้อมกับชุดแข่งแบบเดียวกัน จากนั้นชุดรัดรูปก็ถูกฝังลืมไป จากจุดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับกีฬาก็ถูกพัฒนาเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นระบบกันสะเทือน ดิสค์เบรค ยาง ทุกอย่างถูกออกแบบให้ใช้เฉพาะกับจักรยานดาวน์ฮิลล์ พร้อมกับเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมาย
          มากกว่า 10 ปี ที่เทคโนโลยีของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับกีฬานี้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นระบบกันสะเทือน จักรยาน ชุดแข่ง ทุกอย่างถูกพัฒนามาตามกาลเวลาก่อนที่นักแข่ง และความยากของสนามจะเกิดขึ้นเสียอีก จากเมื่อก่อนสนาม Schlandming และ Fort William เป็นอะไรที่ท้าท้ายนักแข่งสุด ๆ แต่วันนี้ก็กลายเป็นสนามมาตรฐานของรายการ World Cups ไปแล้ว ต้องขอบคุณ Steve Peat บุคคลซึ่งยืนหยัดเป็นสักขีพยานตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน


          ในปี 2002 Sam Hill ได้ทำให้ทั้งโลกต้องตะลึงกับความสามารถของเขา เขาได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขาและจักรยานดาวน์ฮิลล์ในยุคนี้สามารถข้ามผ่านขีดจำกัดที่เคยมีไปได้จริง ด้วยการคว้าแชมป์ทั้ง 2 รายการในปีเดียวกัน และมีชัยชนะที่ทิ้งห่างจากคู่แข่งแบบเหนือ ๆ 

          ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาจักรยานดาวน์ฮิลล์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Steve Peat เพราะเขาเริ่มชีวิตนักแข่งดาวน์ฮิลล์ตั้งแต่ยุค 90 จากวันนั้นจนถึงวันนี้เขายังคงเป็นนักแข่งที่ยังยืนอยู่บนแถวหน้าเสมอแม้อายุที่เพิ่มขึ้นก็ไม่อาจลดทอนความแข็งแกร่งของเขาลงได้ Steve Peat เปรียบเสมือนบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ยังคงโลดแล่น และกระหายชัยชนะในการแข่งขันอยู่ตลอด เขาใช้เวลาถึง 16 ปีต่อเนื่องยาวนานเพื่อคว้าแชมป์รายการ World Champs และเขาทำได้แล้วในวันนี้ ส่วน Shaun Palmer หนึ่งในผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ และเติมแต่งสีสันให้กับวงการนี้ หลังจากหยุดแข่งไปนานแสนนาน ในปีที่ผ่านมาเขาได้กลับมาลงแข่งอีกครั้ง และในปีนี้เขาจะมาแบบเต็มรูปแบบ และต่อไปจะมีอะไรคือความตื่นเต้นครั้งใหม่วงการ... คงต้องติดตามกันต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง:

>> การฝึกพื้นฐานการขี่รถดาวน์ฮิลล์


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง