ss
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มุมดาวน์ฮิลล์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มุมดาวน์ฮิลล์ แสดงบทความทั้งหมด

13 ต.ค. 2554

Pre-Jump โดดก่อนได้เปรียบ

|0 ความคิดเห็น
ถ้าคุณต้องการที่จะรักษาความเร็วเมื่อคุณต้องโดดเนิน ไม่ว่าจะลูกเล็กลูกใหญ่เพื่อไปต่อให้ถึงเส้นชัยก่อนใคร คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ศิลปะการกระโดดที่เรียกว่า Pre-Jump

ย้อนกลับไปที่ยุคต้นปี 90 ผู้ชมรักที่จะยืนดูรอบ ๆ ตรงเนินดินที่สูงชันในการแข่ง Downhill ในตอนนั้นยังไม่มีการกระโดดข้ามเนินใหญ่ ๆ หรือการ Drop จากที่สูง ๆ ที่จบลงด้วยการกระแทกลงพื้นอย่างแรง มีแต่เพียงการขี่ชนกองหินหรือเนินดินเล็ก ๆ ที่ไม่สูงนักด้วยความเร็วที่เกือบจะการันตีความปลอดภัย ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือการขี่ในเส้นทางที่มีเนิน ในงาน Italian World Cup DH Course ปี 1993 มีนักแข่งมืออาชีพหลายคนที่ทำการโดยเนินที่มีตัวรับลึกลงไปเหมือนเป็นการ Drop พวกเค้าลอยอยู่ในอากาศแล้วไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร หลังจากนั้นก็จะกระแทกตัวลงสู่พื้นดินอย่างแรงจนเสียการทรงตัว และความเร็วลดลง

สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นจนกระทั่ง John Tomac มาทำการกระโดดแบบ Bunny Hopped ลงเนินที่มีความสูง 12 ฟุตก่อนดรอปลงเสียบตัวรับในจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบ เขานำรถแตะพื้นของตัวรับหลังจากนั้น เขาจะขี่ด้วยความเร็วคงที่และนำพาตัวเองสู่ที่หนึ่ง โดยที่ไม่มีใครที่จะทำเวลาเข้าใกล้เค้าได้ด้วย นี่เป็นเทคนิคที่เรียกว่า การกระโดด Pre-Jumping

มันอาจจะมีการกระโดดในเส้นทางที่คุณขี่ประจำ จนคุณรู้ว่าคุณสามารถจะเคลียร์เส้นทางนั้นได้ แต่การทำเช่นนั้นบ่อย ๆครั้งมันอาจทำให้เสียความสนุกไป แม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงเนินดินที่ไม่ใหญ่ แต่มีความลาดชันลึกลงไป แล้วก็ต้องใช้ความเร็วในการกระโดด ซึ่งอาจทำให้คุณตกลงเลยตัวรับไปกระแทกพื้นข้างล่างได้ ทักษะการกระโดด Pre-Jump ก็เหมือนกับคุณทำ Bunny Hop กระโดดขึ้นไปก่อนที่จะถึงยอดเนินส่ง มันจะทำให้คุณรักษาความเร็วได้โดยไม่เสียการควบคุม และช่วยคุณเคลียร์การกระโดดลงตัวรับอย่างราบรื่น ต่อจากนี้คือวิธีการของการกระโดด Pre-Jump

1.ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
การกระโดดแบบ Pre-Jump ต้องมีพื้นฐานของการกระโดดแบบ Bunny Hop ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงท่าไปใช้ในการโดด ดังนั้นคุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะต้องลอยตัวขึ้นไปสูงเท่าไหร่ คุณสามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้ในลาดจอดรถที่โล่ง ๆ เลือกเส้นจราจรบนพื้นลานจอดรถเพื่อกำหนดเป็นตำแหน่งที่คุณใช้เป็นแนวการกระโดด พยายามเคลียร์การกระโดดให้ได้ในแต่ละครั้ง เพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อสังเกตจุดที่ลงพื้นที่ และทำการฝึกกระโดดแบบ Bunny Hop เช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนคุ้นชิน

2.ฝึกฝนในทุก  ๆ ที่
คุณสามารถฝึกกระโดยแบบ Pre-Jump ได้ในทุก ๆ ที่ แค่เพียงการฝึกฝนก็สามารถทำให้คุณขี่ในทางลาดชัน หรือบนเนินดินได้ดี แม้กระทั่งบนทางเท้าบริเวณถนนไม่มีรถวิ่ง คุณก็สามารถใช้เป็นที่ฝึกฝนได้ ถ้าคุณโชคดีพอมีทาง BMX หรือลานสเก็ตที่โรงเรียนใกล้ ๆ บ้าน สถานที่เหล่านี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการฝึกฝน

3.ขั้นตอนแรก
หลังจากที่ใช้เทคนิคการฝึกฝนในลานจอดรถ ก็ควรที่จะหาเนินเล็ก ๆ เพื่อที่จะใช้ในการฝึกฝนต่อไป ก่อนอื่นกระโดยขึ้นไปในแนวราบปกติและบันทึกไว้ว่าคุณเสียความเร็วไปเท่าไหร่เมื่อรถลงแตะพื้น ต่อจากนั้นคุณลองใช้เทคนิค Bunny Hop และใช้ทักษะการตัดสินใจเรื่องระยะทางของคุณด้วย เมื่อคุณพร้อมให้ขี่ขึ้นไปบนเนินช้า ๆ หลังจากนั้นให้กระโดดลงสู่ตัวรับด้านล่าง คุณจะสังเกตเห็นว่าคุณไม่เสียความเร็วลงเลย หลังจากนี้ให้เพิ่มความเร็วขึ้น และกระโดดเร็วขึ้นเหมือนที่คุณทำในลานจอดรถ ทำต่อไปเรื่อย ๆจนกระทั่งคุณทำได้เท่าที่คุณกล้าที่จะทำ หรือจนกระทั่งคุณมีความมั่นใจกับการกระโดดแบบ Pre-Jump อย่างเต็มที่

4.คิดในแง่บวก
คิดในทางบวกและขี่อย่างขะมักเขม้น ถึงแม้ว่าการกระโดดแบบ Pre-Jump จะเป็นเทคนิคการกระโดดขั้นสูง แต่มันง่ายที่จะเรียนรู้ เพียงจำไว้ว่า การฝึกฝนจะทำให้การกระโดดสมบูรณ์แบบ เมื่อคุณมีเทคนิคที่ถูกต้อง และมีความเร็วในการขี่ดี คุณสามารถทำการกระโดดแบบ Pre-Jump ได้ในระยะทางที่บ้าระห่ำ

5.พัฒนาทักษะของคุณ
Bunny Hop ไม่ใช่เทคนิคเดียวของการกระโดดแบบ Pre-Jump มันยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีกที่คุณสามารถใช้ได้เมื่อคุณมีความมั่นใจกับการโดด เมื่อคุณขี่ขึ้นไปบนเนิน และดึงล้อหน้าให้พ้นพื้นดินเบา ๆ แล้วก็ดึงล้อหลังขึ้นด้วยการถ่ายน้ำหนักตัวของคุณ วิธีที่ง่ายที่สุดในการเรียนรู้เทคนิคนี้คือการขี่บนทางของ BMX ลองหาเนินแบบ Single Jump ที่จะใช้เริ่มในการฝึก จำไว้เสมอว่าให้ดึงล้อหน้าก่อนที่จะถึงยอดเนิน

สิ่งที่ไม่ควรกระทำในการ Pre-Jump การกระโดดสูงเกินไป
ไม่ว่าคุณทำอะไร ต้องมั่นใจว่าคุณทำ Bunny Hop ที่ไม่สูงจนเกินไปจนเกิดความเสี่ยงในการลงสู่พ้น ถ้ามันเป็นเนินที่ใหญ่ คุณอาจจะเจอปัญหามากมาย ให้จำไว้ว่าใหญ่กว่าไม่ได้ดีเสมอไป

ประมาณการผิดพลาด
ตรวจสอบให้แน่ใจว่คุณประมาณการระยะทางได้อย่างถูกต้อง ถ้าประมาณผิดพลาด ล้อหน้าเกิดการสะดุดมันอาจส่งผลให้ตัวคุณเองลอยข้ามแฮนด์จับม้วนหน้าลงสู่พื้นได้

ความเร็วที่มากเกินไป
คุณสามารถเพิ่มความเร็วได้จากการทำ Pre-Jumping แต่ต้องมั่นใจว่าไม่เพิ่มความเร็วจนมากเกินไปให้คำนึงถึงเส้นทางปัญหา กับอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าต่อไปด้วย ถ้าเส้นทางด้านหลังโล่งคุณสามารถเพิ่มความเร็วได้

23 มิ.ย. 2554

7 สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากการขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์

|0 ความคิดเห็น
7 สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุจากการขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์


     1.ไม่คุ้นชินกับสภาพสนาม หรือเกิดอาการตื่นสนาม
การสำรวจเส้นทางด้วยการเดินเท้า ก่อนการใช้รถจักรยานขับขี่ลงมาเป็นหลักปฏิบัติสากล ในสนามการแข่งขันระดับโลก เพราะกีฬานี้เป็นกีฬาที่ต้องพารถจักรยานวิ่งข้ามผ่านอุปสรรคที่เป็นธรรมชาติในแนวดิ่ง หากคุณไม่รู้ล่วงหน้าว่าข้างหน้าจะมีอะไรแล้วละก็ โอกาสเกิดอุบัติเหตุนั้นมีสูงมาก หลายคนอาจจะคิดว่าก็แค่ขี่ไหล ๆ ดูทางช้า ๆ แต่ในบางพื้นที่ของสนามอาจจะชันมากจนไม่สามารถชะลอความเร็วได้ หรือบางพื้นที่อาจจะมีดร็อปที่ไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อคร่อมอยู่บนตัวรถจักรยาน สิ่งเหล่านี้พร้อมจะดึงคุณกับรถจักรยานของคุณให้นอนหมอบอยู่กับพื้นโดยที่คุณแทบจะไม่รู้ตัว การเดินดูเส้นทางด้วยเท้าและมองหาทางวิ่ง หรือไลน์ที่เหมาะสมจึงเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ที่ว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้มาก ทั้งยังช่วยประเมินทักษะของตนเองกับสนามด้วยว่าเราเองควรจะขี่บนเส้นทางนี้ด้วยวิธีการแบบไหน หรือไม่ขี่จะดีกว่า แต่หากเป็นเส้นที่ที่ไม่สามารถเดินดูก่อนได้ ยกตัวอย่างเชน ทางที่ไม่ใช่สนามแข่งขัน แต่เป็นเส้นทางลงเขายาว ๆ หลายสิบกิโลเมตร เช่น เส้นดอยปุย ขุนช่างเคี่ยน ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีคนที่รู้ทาง หรือผู้ที่เคยขี่ลงเส้นทางมาก่อนเป็นผู้ขี่นำทางให้ และผู้นำทางก็ควรจะต้องหยุดรถจักรยานก่อนถึงอุปสรรคยาก ๆ เพื่อบอกกับผู้ที่ตามมาถึงอุปสรรคเหล่านั้น รวมทั้งวิธีการขี่ข้ามผ่านมันด้วย

2.  ขาดการฝึกฝนทักษะ
การขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์ในลักษณะนี้การฝึกซ้อมรูปแบบการขับขี่ในแบบต่าง ๆ นั้นสำคัญมาก อย่างที่ทราบกันดีว่าจากจุดเริ่มต้น จนถึงจุดสิ้นสุดของสนามย่อมมีอุปสรรคในแบบต่าง ๆ รอคุณอยู่ไม่ว่าจะเป็นทางดร็อปหน้าตัด เนินโดดแบบต่าง ๆ องศาการเลี้ยวแบบต่าง ๆ ทางชั้น ดงหิน และอีกสารพัดอย่าง เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งเหล่านี้ สนามซ้อมในบ้านเรามีความหลากหลายให้เลือกไปฝึกซ้อม แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือนอกจากจะมีสนามให้ซ้อมแล้ว ก็มีผู้ฝึกสอน หรือคนที่มีทักษะประสบการณ์การขี่ที่ได้ในระดับหนึ่งมาคอยชี้แนะให้ ไม่ต้องไปจ้างใครที่ไหนหรอกก็เพื่อน ๆ เรานี้แหละขี่ด้วยกันซ้อมด้วยกันก็แบ่งปันกันไป บางคนอาจจะคิดว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คน ๆ นั้น บอกมันถูก ผิด หรืออาจถูก แต่ถูกแค่ครึ่งเดียว เรื่องนี้ไม่ยากครับ ก็ให้เขาให้ขี่ให้ดูก่อน ถ้าเขาทำได้และสามารถแนะนำเราได้เราก็ทำตาม หรือถ้าอยากเรียนรู้จากมืออาชีพระดับโลกจริง ๆ ก็ไม่อยาก ลองไปหาซื้อ DVD ที่มีชื่อว่า Fundamentals ของค่าย Dirt Magazine มาศึกษาดู ในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่นักจักรยานดาวน์ฮิลล์ต้องรู้ ของย้ำว่าทุกอย่างจริง ๆ บางครั้งการขาดการซ้อม หรือมีเหตุให้ต้องหยุดขี่ไปนาน ๆ ก็เอาออกมาดูบ้างเพื่อทบทวน 

     3. สภาพร่างกายไม่พร้อม
สภาพร่างกาย ระบบประสาททุกส่วนของร่างกายต้องพร้อมทุกครั้งก่อนขึ้นคร่อมรถ ผมเคยมีประสบการณ์ตรงกับตัวเองเมื่อครั้งเดินทางไปซ้อมที่สนามเกาะล้านพัทยา สนามนี้ต้องนั่งเรือข้ามไป วันนั้นพอมีคลื่นลมนิดหน่อย พอถึงสนามก็รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไรหรอก คือใจและทักษะเรามีระดับหนึ่ง แต่ร่างกายและระบบประสาทมันยังรวน และไม่ตอบสนองตามที่ใจเราต้องการผลสุดท้ายคือ ไหปลาร้าหัก อดแข่ง หากสภาพร่างกายเราไม่พร้อม ก็ไม่ควรรีบร้อนลงขี่ เราอาจักสักนิดเพื่อปรับสภาพร่างกาย หรือขี่วอร์มบนทางปรกติไปเรื่อย ๆ ก่อน แล้วร่างกายจะบอกเราเองว่าตอนนี้พร้อมที่จะขี่แล้ว เพราะต่อให้เรารู้สึกปกติดีทุกอย่างแต่ร่างกายก็ต้องการวอร์ม เพื่อสร้างความพร้อมของกล้ามเนื้อเช่นกัน หากรู้สึกเบลอ ๆ เฉื่อย ๆ งง ๆ ล่ะก็ แนะนำให้ดูเพื่อนขี่ดีกว่าครับ จะได้ไม่เจ็บตัว

4.  ผลักดันตัวเองมากเกินไป
ลักษณะนี้มักจะเจอมากกับกลุ่มคนที่มีทักษะประมาณหนึ่ง ซึ่งต้องการผลักดันให้ตัวเองขึ้นไปให้ถึงอีกระดับให้ได้ หรือต้องการจะเอาชนะคู่แข่งด้วยแรง มากกว่าการใช้ความคิด สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอุบัติเหตุได้ การใช้เวลาให้น้อยลงในเส้นทางต้องผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว มุ่งไปในทิศทางเดียวกันโดยที่มีจ้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น เค้นตัวเองมากก็ยิ่งพลาดมาก ต้องประมวลเส้นทางว่าตรงจุดนี้ควรขี่อย่างไรด้วยทักษะที่เรามี มันอาจจะดูนุ่มนวลไม่ตื่นเต้น แต่ในทางกลับกันมันก็เกิดข้อผิดพลาดน้อย ผิดน้อยก็ไม่ต้องแก้เยอะ แก้ไปแก้มาอาจพลาดล้มไปเลยก็เป็นได้ เก็บเล็กผสมน้อยแล้วเวลาจะมาเองครับ

5.   สภาพของรถจักรยานไม่สมบูรณ์
ขาดการบำรุงรักษา ตรวจเช็คจักรยาน อย่าลืมว่าแค่น๊อตตัวเดียวก็สามารถทำให้เราไปนอนเล่นอยู่ในโรงพยาบาลได้ อีกสิ่งที่สำคัญมากคือการปรับตั้งระบบต่าง ๆ ในตัวรถให้เหมาะสม และให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพราะรถจักรยานต้องรับภาระอันแสนหนักหน่วง ตลอดเส้นทางการขับขี่ แนะนำให้เปิดอ่านคู่มืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนตัวรถดูบ้าง จะช่วยให้เราเข้าใจถึงระบบการทำงาน รวมทั้งการบำรุงรักษา เพราะนอกจากจะลดการเกิดอุบัติเหตุแล้วยังช่วยยืดอายุการใช้งานของจักรยานได้อีกด้วย

6.  อุปกรณ์ป้องกันไม่เหมาะสม
ปัจจุบันผู้ผลิตอุปกรณ์ป้องกันส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสำหรับกีฬาจักรยานดาวน์ฮิลล์มีมากมายหลายแบบ บ้างเน้นการสวมใส่ที่สบายไม่เทอะทะเยอะแยะ แต่มันอาจจะต้องแลกด้วยการป้องกันที่น้อยลง ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุเราไม่มีทางรู้แน่ว่ามันจะเกิดตรงส่วนไหนของร่ายกาย ทางที่ดีควรเลือกแบบที่รัดกุม ครอบคลุมในทุกสัดส่วนนั้นดีที่สุดครับ อาจจะร้อนนิดร้อนหน่อย แต่ไม่ต้องหยุดพักยาวจากอาการบาดเจ็บ ผมว่ามันคุ้มหรือบางท่านทำงานทำการกันแล้ว เกิดมีแผล มีสะเก็ดหมูแดงคงไม่น่าดูเท่าไรเมื่อต้องอยู่ในชุดทำงาน
     
     7. สนุกจนประมาท
ลักษณะนี้จะพบมากเมื่อยามที่ออกไปซ้อมขี่กันเล่น ๆ กับเพื่อนก๊วนใหญ่ ๆ ที่มีบรรยากาศการขี่ที่สนุกสนามเฮฮา รอบแรก ๆ ก็ไม่เท่าไหร่เพื่อมีแรงเราก็มีแรงก็สนุกกันได้ แต่หากเพื่อนยังมีแรงแต่แรงเราเริ่มถดถอยอันนี้เริ่มไม่ดี เราต้องคอยสักเกตุตัวเองว่าเมื่อไหร่รอบไหนที่เราขี่แล้วรู้สึกมันติด ๆ ขัด ๆ หลุดไลน์บ้าง เลี้ยวไม่เข้าบ้าง ทั้งที่มันเป็นเส้นทางเดิม ๆ ที่ขี่มาหลายรอบแล้ว นั่นเป็นสัญญาณว่าร่างการท่านเริ่มล้าแล้ว คือมันเริ่มไม่ตอบสนองตามความต้องการเสียแล้ว จงหยุดเถิด อย่าคิดว่าก็ยังไม่เป็นไรนี่หว่า อีกสักรอบคงไม่เป็นไร เชื่อเถอะครับเก็บร่างกายเอาไว้สนุกกับเพื่อน นาน ๆ ดีกว่า

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุจากการขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์ได้ แต่สิ่งซึ่งสำคัญที่สุดคือ การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท มีสติ และรู้จักประมาณตน ขอให้ทุกท่านสนุกกับการปั่นจักรยานครับ ...

(ที่มา: นิตยสาร  Sport Street  บทความโดยคุณ Rudy 42)


บทความที่เกี่ยวข้อง:

16 พ.ค. 2554

จักรยานดาวน์ฮิลล์: เทคนิคการเตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อการเข้าร่วมแข่งขันดาวน์ฮิลล์ ตอนที่ 2

|0 ความคิดเห็น
จักรยานดาวน์ฮิลล์: เทคนิคการเตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อการเข้าร่วมแข่งขันดาวน์ฮิลล์ ตอนที่ 2


สวัสดีครับเพื่อน หลังจากในตอนที่ 1 นั้นเราได้นำเสนอแนวทาง และแนวคิดในการเริ่มต้นเรียนรู้การปั่นจักรยานดาวน์ฮิลล์ไปแล้ว และในตอนต่อไปนี้จะมาแนะนำถึงกระบวนการฝึกการรับรู้สร้างความชำนาญ ซึ่งจะแยกเป็นลำดับดังนี้

    1.จัดทำแผนที่สนามตั้งแต่ต้นจนจบอย่างย่อจดจำจุดที่สำคัญ ๆ ที่จะทำให้เวลาเร็วหรือเวลาช้า แล้ววางแผนการใช้กำลังและการปั่นจนสามารถที่จะมีภาพเส้นทางอยู่ในสมองก่อนจะมีการแข่งขันจริง ต้องฝึกที่จะอ่านภูมิประเทศ แต่ละแบบ และดูเส้นทางที่จะใช้ขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์ และ ครอสคันทรี่ ตั้งแต่เส้นทางที่ดีที่สุดถึงแย่ที่สุด ลองขี่สัก 3 ไลน์ เพื่อเวลาแข่งจริงถ้าเกิดข้อผิดพลาดเราก็จะสามารถผ่านพ้นเส้นทางไปได้ด้วยความปลอดภัยและไม่เสียเวลามาก

    2.ฝึกมองไกลและใกล้สลับกันจนเป็นนิสัย แต่โดยปกติเราจะมองไกลไปข้างหน้าเสมอ

    3.ฝึกการควบคุมระบบประสาทการสั่งการในจุดเริ่มต้นปล่อยตัว ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการแข่งขัน ถ้าเราออกตัวได้ดีอาจทำให้โค้งแรกของเราใช้เวลาน้อยลงไป 1-3 วินาที ต้องซ้อมออกตัวอย่างสม่ำเสมอให้ตำแหน่งขาจานอยู่ตำแหน่งที่ถูกการฝึกสภาพระบบร่างกาย
- การฝึกปั่นในเส้นทางที่หลากหลายรูปแบบ โดยใช้รถ Hard Trail หรือ Free Ried สลับกับรถจักรยานดาวน์ฮิลล์ จะดีที่สุดเพราะจะสามารถปั่นได้นานและได้พบเส้นทางที่หลากหลายอย่าซ้อมเส้นทางเดิม ๆ ให้ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดก่อนจะลง ดาวน์ฮิลล์
- ฝึกปั่นสนามดาวน์ฮิลล์ ที่มีระยะทางยาว ใช้เวลานาน ใช้ความอดทนสูง
- ฝึกปั่นสนามดาวน์ฮิลล์ ที่มีระยะทางสั้น ต้องมีการกระชากตื่นตัวอยู่เสมอ


4. การฝึกปั่นให้มีความลื่นไหลตื่นตัวและสนุก มีสมาธิ ขี่ให้ราบรื่นเสมอรักษาให้จักรยานอยู่บนพื้นมากที่สุด เพราะเป็นการแข่งขันทำเวลาไม่ใช่การแข่งขันกระโดดโชว์ท่า คุณจะสามารถทำความเร็วได้ตลอดเส้นทางแตกต่างจากการที่อยู่บนอากาศนาน ๆ อย่าล้ม ใช่แล้วครับคุณต้องฝึกความชำนาญให้มากพอ ไม่กลัว แต่ไม่ประมาท


5. การควบคุมรถเข้าโค้งการเลี้ยว
- เข้าโค้งที่มีความเร็วสูง ฝึกความเร็วต่ำ เส้นทางเลี้ยวที่คับแคบ ฝึกเรียนรู้ในการตัดโค้งเพื่อย่นระยะทาง ฝึกการตัดเนินหลังเต่าคือการไม่กระโดดสูง
- การออกจากโค้งให้เร็ว  คือการเรียนรู้ที่จะเข้าเร็วออกเร็ว

6. ฝึกการผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ
- การฝึกโดดหน้าตัดแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ต่ำ จึงถึงสูง โดดแล้วเหลือพื้นที่มาก เหลือพื้นที่น้อย หลังจากโดนลงมาแล้วเลี้ยวซ้ายขวาหรือตรงไป
- เรียนรู้การปรับแต่งรถจักรยานให้เข้ากับเส้นทางที่แข่งขัน
- ฝึกกระโดดรูปแบบต่าง  ๆ การกระโดดสูง ต่ำ การกระโดดไกล ใกล้หรือไม่กระโดด โดยใช้การ Bunny Hop ข้ามหรือแม้แต่การ Munual การเตรียมตัวก่อนกระโดด การรองรับแรงกระแทก การปั้มรถให้ลื่นไหลส่งต่อเพิ่มความเร็ว
- การปั่นเร่งขึ้นเนินสั้นและเนินยาว ซึ่งจะมีให้เห็นบ่อย ๆ ในรายการแข่งขันปัจจุบัน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราได้นักปั่น XC เป็นแชมป์ดาวน์ฮิลล์
- การปั่นในเส้นทางที่เปียกลื่น มีแอ่งน้ำ เป็นโคลน ฝนตก
- การปั่นในเส้นทางที่เป็นพื้นแข็งลื่น หิน หรือกรวดลอย
- หลักการดูแลโดยทั่วไปเรียนรู้หลักโภชนาการที่ร่างกายต้องการ ในการชดเชย การวางโปรแกรมในการฝึกซ้อมและการเล่น เวทเทรนนิ่ง
- การฝึกความคล่องตัวของกล้ามเนื้อ เรียนรู้ว่าตัวเองสามารถที่จะออกแรงปั่นได้ดีที่สุดในระยะขนาดใด 

จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวการฝึกซ้อมเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่เรายังทำได้ไม่ดีพอ เมื่อถึงเวลาที่เราไปแข่งขันเราจะพร้อมกับเส้นทางทุก ๆ เส้นทางและเราจะต้องทำการฝึกด้วยความสุข อย่างลืมใส่อุปกรณ์ป้องกันให้ครบ และควรฝึกซ้อมกับเพื่อนหรือผู้ดูแล กรณีเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง เมื่อเราฝึกมากพอเราจะมีทักษะ เทคนิค และคุณจะสามารถขี่ได้โดยอัตโนมัติ จะทำให้คุณมีการขี่ที่ดีขึ้น ถ้าทำการฝึกฝนบ่อย ๆ รับประกันว่าคุณจะรู้สึกประหลาดใจในการขี่ของคุณ ในตอนต่อ ๆ ไป เราจะได้นำวิธีการขั้นตอนแต่ละหัวข้อมาอธิบายแบบเจาะลึกกันต่อไปครับ

[จักรยานดาวน์ฮิลล์]


ที่มา:นิตยสาร Race Bicycle  บทความโดยคุณ นิกร  เกื้อปัญญา  (อดีตนักกีฬาจักรยานดาวน์ฮิลล์ทีมชาติไทย)

จักรยานดาวน์ฮิลล์: เทคนิคการเตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อการเข้าร่วมแข่งขันดาวน์ฮิลล์ ตอนที่ 1

|0 ความคิดเห็น
จักรยานดาวน์ฮิลล์: เทคนิคการเตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อการเข้าร่วมแข่งขันดาวน์ฮิลล์ ตอนที่ 1


สวัสดีครับ เราจะมานำเสนอแนวทางการเตรียมตัวสำหรับนักปั่นที่กำลังสนใจจะเริ่มในการเล่นจักรยานดาวน์ฮิลล์ เพื่อความสนุกหรือต้องการที่พัฒนาเข้าสู่การแข่งขัน  การปั่นจักรยานดาวน์ฮิลล์จะมีความแตกต่างจากการปั่นจักรยานครอสคันทรี่ อยู่บ้างตรงที่ จักรยานดาวน์ฮิลล์ต้องแข่งขันกับตัวเองและเวลาที่ตัดสินแพ้ชนะกันด้วยเสี้ยววินาที ที่จะต้องมีความเร็วที่สูงกว่ามากทั้งในโค้งและทางลาดชันต่าง ๆ สภาพทางอุปสรรคที่ท้าทายหลากหลาย มีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเสมอเพื่อจะทำเวลาให้ดีที่สุด ผู้ที่มีสมาธิ มีความรวดเร็วความสนุกและมุ่งมั่นเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดจะได้มีโอกาสเป็นผู้ชนะ

ซึ่งในการแข่งขันนั้นความแตกต่างระหว่างผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุดกับมือใหม่จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นั่นเกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์ การแข่งขันที่มากกว่าทั้งเรื่องการปรับแต่งรถแข่งขันการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระหว่างการแข่งขันนักแข่งจะต้องสามารถปั่นได้ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แบบใดก็ตาม เราต้องสามารถที่จะผ่านพ้นไปให้ได้และเช่นเดียวกันในรายการแข่งขันระดับโลกจะต้องมีการทดสอบนักกีฬาในเรื่องนี้ด้วย นักกีฬาต้องสามารถทำการฝึกซ้อมในเส้นทางตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเส้นชัยจนครบได้ 2-3 เที่ยว กรรมการจึงจะยอมให้ร่วมการแข่งขันเพื่อความปลอดภัยของนักแข่งและผู้จัดการแข่งขันเอง ซึ่งกติกาอย่างนี้น่าจะนำมาใช้ในการแข่งขันในประเทศไทยเพื่อเป็นการรักษาป้องกันเยาวชนแลผู้เริ่มต้นแข่งมือใหม่ให้อยู่กับวงการนาน ๆ

การปั่นจักรยานดาวน์ฮิลล์ ให้สนุกและพัฒนาได้อย่างรวดเร็วสิ่งสำคัญมากที่สุดอันดับแรกที่นักแข่งหลายคนอาจจะมองข้ามในการที่จะนำมาใช้เป็นพาหนะสู่ความสำเร็จในการฝึกซ้อมและแข่งขัน ผู้เขียนพูดถึงช่วงนี้แล้วหลายคนอาจจะกำลังคิดตามอยู่และอาจมีจินตนาการไปต่าง ๆ นา  ๆ ว่าจะต้องใช้รถยี่ห้อไหน จะใช้ช็อคหน้าหลังอะไรหรือแม้แต่อุปกรณ์ป้องกันแบบไหนที่ใส่เบาและคล่องตัวหรือแม้แต่อาจจะคิดแบบตลก ๆ ว่าจะนั่งรถอะไรไปแข่งขันดี แต่จริง ๆ แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ว่ามานั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความฝัน เป้าหมาย แรงปรารถนา อันแรงกล้าของเราเองต่างหาก ที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีในโลกใบนี้เพราะจะเป็นพลังที่มีอานุภาพจะทำให้เรามีศรัทธาและความเชื่อ มีภาพแห่งความฝันที่ชัดเจนในสิ่งที่เราทำอยู่ให้มีความสนุกมากที่สุด ผ่อนคลายที่สุด คิดบวก คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่ทำให้มีกำลังใจเสมอ และมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้กับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จของแต่ละคน เพราะเป้าหมายและความสำเร็จของแต่ละคนแตกต่าง และผมเชื่อมั่นว่าเราทุกคนสามารถที่จะพัฒนาและประสบความสำเร็จได้เพราะคนที่เขาประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากการแสวงหาและพยายามที่จะทำอย่างจริงใจอย่างเหมาะสมมีความรับผิดชอบ หากเราไม่ท้อแท้สักวันต้องประสบความสำเร็จจนได้

การแข่งขันจักรยานดาวน์ฮิลล์หรือ ครอสคันทรี่ ไม่ได้จัดแข่งขันในที่เดิมมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสนามไปเรื่อย ๆ ตามแต่ความถนัดและความต้องการของผู้จัด ซึ่งในการแข่งขันแต่ละครั้งจะต้องมีระยะเวลาในการเดินทางเพื่อไปฝึกซ้อมก่อนวันแข่งจริง ปัญหาที่ตามมาคือไม่สามารถเรียนรู้แก้ปัญหาและจดจำเส้นทางได้ทั้งหมด นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราจะต้องฝึกกระบวนการรับรู้สร้างความชำนาญ ซึ่งในตอนต่อไปจะได้มาแนะนำกระบวนการเหล่านี้ให้รับรู้ และลองนำไปปฏิบัติต่อไปครับ




4 ม.ค. 2554

การฝึกพื้นฐานการขี่รถดาวน์ฮิลล์ [เทคนิคการปั่นจักรยาน]

|0 ความคิดเห็น
 [เทคนิคการปั่นจักรยาน]

การฝึกพื้นฐานการขี่รถดาวน์ฮิลล์ [เทคนิคการปั่นจักรยาน]
            เนื่องจากเส้นทางของการขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์ส่วนใหญ่จะเป็นการขี่ลงภูเขาตามชื่อ ประเภทการขี่ตรง ๆ สิ่งที่เป็นพื้นฐานอย่างแรกที่เราอยากนำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ทราบก็คือ การรักษาสมดุลของร่างกายตามทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ พูดแบบนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะงง ปกติเวลาเราขี่จักรยานจะรักษาสมดุลซ้าย-ขวา เพื่อไม่ให้รถล้มใช่ไหมครับ แต่ขี่ดาวน์ฮิลล์นั้นทิศทางการเคลื่อนที่ของรถจะเป็นทิศทางการดิ่งลงแนวต่ำ ดังนั้นจึงจะต้องมีการรักษาสมดุลของรถตามการเคลื่อนที่ของรถ กล่าวคือหากเราขี่รถบนพื้นราบหลังเราจะตั้งตรงให้น้ำหนักตัวกระจายไปทั้งสองล้ออย่างเท่ากัน แต่ในกรณีการขี่ลงภูเขาหากเราไปขี่แบบนั้นจะทำให้รถม้วนหน้า เพราะว่าทางที่ไม่ได้ราบระดับแต่เป็นการขี่บนทางลาดเอียง หากเรายังขี่โดยลำตัวตั้งตรงน้ำหนักกระจายลงบนทั้งสองล้อเท่ากันก็จะทำให้รถคว่ำได้ง่าย ๆ การขี่ลงภูเขาไม่ให้รถคว่ำม้วนหน้า สามารถทำได้โดยการถ่ายน้ำหนักตัวไปล้อหลังของรถ โดยการหย่อนก้น ซึ่งก็สามารถฝึกได้ง่าย ๆ ดังนี้ [เทคนิคการปั่นจักรยาน]
1. ขี่รถมาปกติ แล้วก็ปล่อยให้รถไหลวางตำแหน่งเท้าให้บันไดขนานพื้น ให้ขาที่ถนัดอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ยกก้นขึ้นจากเบาะ
2. เกร็งแขนและขาเพื่อเลี้ยงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ แล้วค่อยหย่อนก้นลงต่ำด้านหลังเบาะ
3. ปล่อยให้รถไหลตรงไปเรื่อย ๆ ซักพักแล้วค่อยดึงตัวกลับไปนั่งบนเบาะเหมือนเดิม
            ในการฝึกท่านี้แรก ๆ อาจจะทำได้นิดเดียวครับ เพราะเป็นที่ใช้กำลังของขาและแขนมาก สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มฝึก แนะนำให้หย่อนก้นไปด้านหลังนิดเดียวก็พอ จากนั้นจึงค่อย ๆ หัดหย่อนให้มากขึ้น และเลี้ยงตัวให้นานขึ้น การฝึกท่านี้ควรจะทำควบคู่กับการยกเวทด้วย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงแขน [เทคนิคการปั่นจักรยาน]
            หลังจากฝึกหย่อนก้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการฝึกขี่ลงเนินเล็ก ๆ เพื่อให้เป็นการฝึกทักษะให้เกิดความเคยชินกับการขี่ลงเนินซึ่งก่อนจะฝึกขี่ลงเนินใด ๆ ก่อนทำการฝึกควรเดินสำรวจเส้นทางก่อนฝึกจะเป็นการดี เผื่อท่านอาจจะเจอตอไม้ จะได้ระวังไม่ให้ขี่ไปชนตัวไม้ดังกล่าว ส่วนขั้นตอนการฝึกก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ [เทคนิคการปั่นจักรยาน]
1. ขี่รถมาที่ยอดเนิน ก่อนถึงยอดเนินก็ยกขึ้นจากเบาะเพื่อที่จะมองเส้นทางได้ชัด
2. ขณะที่ล้อหน้าเริ่มลงเนินไปแล้ว ก็ให้ทำการหย่อนก้นไปด้านหลังเหมือนที่ฝึก
3. เลี้ยงตัวให้รถไหลลงเนินอย่างช้า ๆ โดยการเลียเบรกช่วย เพื่อเป็นการฝึกการทรงตัวเวลาลงเนินและฝึกทักษะการใช้เบรกเพื่อรักษาการทรงตัวไปในตัว
4. เมื่อรถลงสุดเนินก็กลับมานั่งขี่บนเบาะเหมือนเดิม
            นี่คือเทคนิกการขี่ดาวน์ฮิลล์ขั้นพื้นฐาน ที่ต้องนำไปใช้งานกันบ่อยมากที่สุดครับ..

10 ต.ค. 2553

ดาวน์ฮิลล์ (Downhill) : ขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์อย่างไรให้สนุกและปลอดภัย ตอนที่ 1

|0 ความคิดเห็น
ดาวน์ฮิลล์ (Downhill) : ขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์อย่างไรให้สนุกและปลอดภัย ตอนที่ 1


          การขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์(Downhill) อาจจะเป็นกีฬาในแง่ของการแข่งขัน สำหรับผู้ที่หลงใหลในชัยชนะ แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นกิจกรรมสันทนาการสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความท้าทาย ที่พยายามนำพาตัวเองไปใกล้ขีดจำกัดของเส้นทาง และตนเองไม่ว่าคุณจะเป็นนักขี่ประเภทไหน สิ่งที่ต้องนำติดตัวไปทุกครั้งที่ออกไปขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์(Downhill)ก็คือ ทักษะขั้นพื้นฐาน และอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยทั้งหลาย

           เนื่องจากการขี่จักรยานแบบดาวน์ฮิลล์(Downhill) เป็นการขับขี่ที่แตกต่าง จากการขี่จักรยานแบบทั่วไป และนักจักรยานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีทางลงเขาให้ได้ขี่กันทุกวัน ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ก็จะเป็นที่มาของอาการ “ลืมทักษะพื้นฐาน” ทำให้บางครั้งเรามีความทะยานอยากเหลือกำลังที่จะออกไปดิ่งกับเพื่อน ๆ จนไม่ทันได้ปรับตัว หรือทบทวนพื้นฐานการขับขี่ และนั่นก็เป็นที่มาของอุบัติเหตุนั่นเอง
          เรามาทบทวนบทเรียนเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ ติวเตอร์คนแรกของเราคือ Marc Beaumonut โปรจากเกาะอังกฤษ นักแข่งระดับ World Cups และเคยเป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ของ Steve Peat ติวเตอร์คนที่สองคือ Will Longden เขาขี่จักรยานเสือภูเขามาตั้งแต่ยุค 80 และยังเคยเป็นแชมป์ระดับประเทศหลายรายการในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกสอนในกับนักกีฬาทีมชาติอังกฤษอีกด้วย...เรามาเริ่มกันเลย

- การจัดวางตำแหน่งของร่างกาย
          การจัดวางตำแหน่งของร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมะสม และถูกต้องบนจักรยานในแต่ละความแตกต่างของเส้นทาง คือหัวใจขั้นพื้นฐานของขี่จักรยานแบบดาวน์ฮิลล์(Downhill) หากคุณทำมันได้ถูกต้อง คุณก็สามารถขี่ไปได้ทุกเส้นทางและทุกรูปแบบ เมื่อคุณอยู่บนรถจักรยาน คุณกับจักรยานก็ต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน น้ำหนักส่วนใหญ่ของร่างกายจะตกไปอยู่ที่กะโหลกของรถจักรยานหรือกึ่งกลางของตัวรถนั่นเอง ไม่ว่าตัวรถจะอยู่ในแนวดิ่งลงหรือไต่ขึ้นก็ตาม การขยับตัวของคุณในทุก ๆ อิริยาบถย่อมมีผลกับสมดุลของตัวคุณ และจักรยาน เมื่อจุดศูนย์ถ่วงของจักรยานคือกะโหลก หากเป็นผู้ขี่จุดศูนย์ถ่วงหรือจุดหมุนหลักของร่างกายก็คือบริเวณเอวนั่นเอง

- การลดความเร็ว
          เมื่อคุณสามารถขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์(Downhill) ด้วยตำแหน่งของร่างกายที่ถูกต้องแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเรียนรู้เรื่องการเบรค หรือการลดความเร็วนั่นเอง ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดในการใช้เบรกของนักขี่ทั่วไป กับนักขี่ที่มีทักษะก็คือ นักดิ่งมือใหม่มักจะใช้เบรคเพื่อแก้สถานการณ์ในยามคับขันซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วคุณควรจะต้องรู้ล่วงหน้าว่าจะต้องใช้เบรกเพื่อลดความเร็วให้เหมาะสมกับเส้นทาง ก่อนที่มันจะเกิดปัญหา หากจะขี่จักรยานดาวน์ฮิลล์(Downhill)ได้เร็วและปลอดภัย คุณจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เบรกเสียใหม่
          นักจักรยานที่มีทักษะ หรือนักกีฬาอาชีพใช้เบรกเพื่อ “ปรับความเร็ว ให้เหมาะสมกับทิศทางก่อนจะเลี้ยว “ ควรใช้เบรกเมื่อจักรยานอยู่ในตำแหน่งตั้งตรงให้มากที่สุด (ก่อนเอียงเลี้ยวรถ) เพราะในตำแหน่งนี้ร่างกายของคุณสามารถรับแรงต้านจากการใช้เบรกได้ดี ล้อและยางของจักรยานก็อยู่ในตำแหน่งที่สามารถยืดเก่าพื้นผิวได้ดี ทำให้ใช้เบรกได้เต็มประสิทธิภาพ และเมื่อได้ความเร็วที่เหมาะสมแล้ว เมื่อมาถึงจุดเลี้ยวคุณก็จะสามารถจัดตำแหน่งของร่างกายได้ถูกต้องโดยที่ไม่ต้องไปพะวงกับการใช้เบรกนั่นเอง ข้อควรจำง่าย ๆ สำหรับการใช้เบรคของยานพาหนะที่มีล้อกลม ๆ ไม่ว่าจะกี่ล้อก็ตาม บนโลกนี้คือ “เบรกไม่เลี้ยว เลี้ยวไม่เบรค”

- การฝึกการใช้เบรกแบบง่าย ๆ
           ให้หาพื้นที่ที่มีความยาว 5-10 เมตร จากนั้นก็กำหนดจุดที่ต้องการให้รถหยุดสนิทจริง ๆ แล้วลองขี่มาด้วยความเร็วจากนั้นให้ใช้เบรกหน้าอย่างเดียว เพื่อหยุดรถในตำแหน่งที่กำหนดไว้แต่แรกโดยล้อห้ามล็อคหรือไถล ฝึกจนให้ได้ระยะเบรกที่สั้นที่สุด จากนั้นก็ทำแบบเดิมทุกอย่างแต่เปลี่ยนมาเป็นใช้เบรกหลังอย่างเดียวภายใต้เงื่อนไขเดิมคือห้ามล้อล็อคหรือปัดซ้ายปัดขวา
          เมื่อคุณฝึกจนเข้าใจ คุณก็จะรู้ว่าเบรกหน้า และเบรกหลังให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร และการหลีกเลี่ยงไม่ให้ล้อล็อคนั้น คุณจำเป็นต้องปรับตำแหน่งร่างกายของคุณให้ถูกต้องอย่างไรนั่นเอง
          เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องยาก ๆ กลับถูกย่อยออกมาให้กลายเป็นเรื่องง่าย แต่มันสามารถนำไปปรับใช้และพัฒนาการขับขี่ได้ด้วยตัวคุณเอง ขอให้สนุกและปลอดภัยกันทุกคนนะครับ

บทความที่เกี่ยวข้อง:


>> การฝึกพื้นฐานการขี่รถดาวน์ฮิลล์



21 ก.ย. 2553

เสือภูเขาดาวน์ฮิลล์จากอดีตสู่ปัจจุบัน

|0 ความคิดเห็น
          กว่า 20 ปีที่แสนยาวนาน เต็มไปด้วยเรื่องราว และประวัติศาสตร์มากมาย วันนี้เราจะเข้ามามองย้อนไปถึงพัฒนาการของรถจักรยาน นักกีฬา และเทคโนโลยีที่มีส่วนทำให้กีฬานี้กลายเป็นที่คลั่งไคล้ของคนที่หลงใหลกีฬาจักรยานแบบ Extreme นี่ไปทั่วโลกกัน
          หากใครที่เคยอยู่ในยุคแรกเริ่มของกีฬาดาวน์ฮิลล์ จ่าจะยังจำความรู้สึกของฟันกระทบกัน เพราะระบบกันสะเทือนที่มีช่วงยุบแสนสั้น แถมยังต้องลุ้นกับระยะเบรกแสนยาว ของระบบเบรกรุ่นเก่า หากมองย้อนกลับไป ด้วยรถและอุปกรณ์ อีกทั้งเครื่องแต่งกายแบบรัดรูป ที่มีในสมัยนั้น นักกีฬาที่รอดตามมาจนถึงทุกวันนี้ได้ถือว่าสุดยอดจริง ๆ อันที่จริงต้องขอบคุณจุดเริ่มต้นอันแสนสุ่มเสี่ยงในวันนั้น ที่ทำให้เรามีพัฒนาการ และเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดจนทำให้เรามีวันนี้
         ครั้งแรกของการแข่งขันดาวน์ฮิลล์ที่ได้มีการบันทึกไว้น่าจะเริ่มต้นที่รายการ Repck Series ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาในปลายยุค 70 ก็ยังไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก จวบจนมาถึงปี 1988 การแข่งขันเริ่มสร้างความเร้าใจมากขึ้น ในรายการ Kamikaze DH ซึ่งจัดขึ้นที่ภูเขา Mammoth นักกีฬาสามารถทำความเร็วพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 60 กม./ชม.โดยใช้ถนนแนวกันไฟบนภูเขาเป็นเส้นทางแข่งขัน ไม่มีเนินโดด ไม่มีแบงค์ ดิ่งกันล้วน ๆ การแข่งขันดาวน์ฮิลล์จริง ๆ น่าจะเริ่มจากรายการนี้นี่เองนักกีฬาในสมัยนั้นก็ได้แก่ Tomac,Overend,Herbold,Futado,Henderson และ Jason McRoy
          รูปแบบการแข่งขันในยุคนั้นก็จะคล้าย ๆ กับสมัยนี้คือเป็นแบบแพ้คัดออก ความเร็วเฉลี่ยในการแข่งขันค่อนข้างสูง อุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ ภาพของการแข่งขันมักจะได้ขึ้นปกนิตยสารจักรยานในยุคนั้นเป็นประจำ ตัวรถจักรยานนั้นค่อนข้างเบสิคเอามาก ๆ หากเปรียบเทียบกับสมัยนี้ก็ประมาณรถครอสคันทรี่นั่นแหละ ซึ่งต่างจากรถจักรยานดาวน์ฮิลล์ในยุค 90 ที่เน้นไปที่ระบบกันสะเทือนอย่างสิ้นเชิง จำได้ว่าตอนนั้น John Tomac ขี่ให้กับ Yeti มีภาพขึ้นปกนิตยสาร Mountain Bining UK เสียด้วย ในยุคนั้นมักมีอะไรประหลาดให้เห็นอย่างเช่น Doug Braduty ใส่โช๊ค Manitau คู่กับแฮนด์ที่ใส่บาร์เอนด์ จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นเพราะสภาพสนามในยุคนั้น ทั้งคนและรถจึงเป็นอย่างที่เห็น
           ต่อมาเมื่อการแข่งขันร้อนแรงมากขึ้น รูปแบบสนามเริ่มเปลี่ยนไป เทคโนโลยีของระบบกันสะเทือนจึงเข้ามีบทบาทอย่างชัดเจน จนรถจักรยานทุกคันกลายเป็นรถ Full Suspension หรือ 2 โช๊คไปโดยปริยาย รายการแข่งก็มีมากขึ้นทั้งทางฝั่งอเมริกา ได้แก่ รายการ NORBA Series และอังกฤษ ได้แก่ รายการ UK”SBMBF จนกระทั่งได้รับความนิยมระบาดไปทั่วโลก และถูกพัฒนาไปเป็นรายการใหญ่ระดับโลกอย่าง World Cup Series ที่รวบรวมเอาเหล่าบรรดานักดิ่งชั้นหัวกระทิจากทั่วโลกไว้ด้วยกัน และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือเม็ดเงินมหาศาล ผู้ผลิตจักรยานเองก็เริ่มสร้างรถที่เป็นรถดาวน์ฮิลล์แท้ ๆ ส่งเข้ามาแข่งขันกันจนทำให้รถกระเทย รถลูกผสมประหลาด ๆ สูญพันธุ์ไปโดยปริยาย หากมองลึกเข้าไปเราจะเห็นว่าแทบจะทุกอย่างที่ทำให้วงการนี้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าล้วนเกิดมาจากสนามแข่งขันแทบทั้งสิ้น น่าแปลกที่บ้านเรากลับไม่เห็นความสำคัญตรงนี้ มองเพียงแค่ว่ามันเป็นกีฬาที่เล่นกันอยู่ในป่าในเขา คิดเอาแต่ว่าไม่มีใครเห็น ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของโลกจักรยานก็บอกอยู่อย่างชัดเจน
          แบรนด์ที่สร้างงานออกแบบสุดคลาสิค จนถูกจารึกไว้ได้แก่ Saacen, Kona,Sintesi ,Iron House ในสมัยก่อนชื่อว่า Verlicchi (อาจจะไม่คุ้นหูนัก ในยุคนี้ แต่ชื่อดังที่กล่าวมานั้น อาจจะพัฒนาหรือขยายกิจการเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ที่แตกต่างออกไป) และผู้ขี่มันคือนักดิ่งชาวอเมริกันชื่อ Dave Cullinan ซึ่งเป็นคนแรกที่ชนะเลิกการแข่งขัน โดยใช้รถแบบ 2 โช๊ค และทำให้รถยี่ห้อ Verlicchi โด่งดังมาในยุคนั้น รถรุ่นนี้ออกแบบมาให้ใช้โช๊คร่วมกับ Marzocchi ที่มีช่วงยุบ 2 นิ้ว ทั้งหน้าและหลัง ใช้จุดหมุนเดี่ยวร่วมกับ Swingarm แบบให้ตัวได้ ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ดูทันสมัยมากในยุดนั้น
          จากนั้นระบบกันสะเทือนก็กลายมาเป็นหัวใจของรถประเภทนี้ และทำให้เกิดการแข่งขันจากผู้ผลิตขึ้นด้วยเช่นกัน Rockshox ได้พัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังขยายช่วงยุบให้มากขึ้นในรุ่น Mag 21 ขึ้น ทำให้แบรนด์อื่นอย่าง Marzocchi และ Manitau ก็อยู่นิ่งไม่ได้ จนในที่สุดจักรยานจากค่ายอเมริกันนามว่า Mountain Cycle ก็ประกาศตัวจักรยานรุ่น San Andreas (เริ่มคุ้นหูกันบ้างแล้วซิ) เป็นจักรยานคันแรกที่มีช่วงยุบมากถึง 6 นิ้ว และให้งานได้ดี ต่อมาในช่วงกลางยุค 90 GT ก็ประสบความสำเร็จกับระบบเฟรมแบบใหม่ที่เรียกว่า RST เป็นระบบที่แก้ไขปัญหาระหว่างการเบรกกับการยุบตัวของรถ พร้อมกับได้ตัว Nicolas Vouilloz นั่งดิ่งอัฉริยะชาวฝรั่งเศสขี่ให้ ซึ่งจากจุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญอีกช่วงหนึ่งของวงการ

ยุคทองของนักดิ่งชาวฝรั่งเศส
          ในปี 1955 Nicolas Vouilloz ได้แชมป์ Senior World Champs เป็นครั้งแรก จากครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยหันหลังกลับ เดินหน้าคว้าแชมป์เรื่อยมา และได้ย้ายไปสังกัดกับทีม Sunn Chippie ซึ่งเป็นทีมที่มีส่วนอย่างมากในการเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของรถจักรยานดาวน์ฮิลล์ไปตลอดกาล ต่อมาในปี 1996 นักดิ่งสาวชาวฝรั่งเศส Anne Caroline Chausson เริ่มต้นการสะสมแชมป์ของเธอ และทำให้ทีม Sunn กลายเป็นทีมที่ร้อนแรงที่สุดในยุคนั้นทั้งยังได้ว่าจ้างให้จอมอัจฉริยะ Oliver Bosserd เข้าช่วยจัดการเรื่องระบบกันสะเทือนเพื่อความลงตัวกับจักรยานสั่งตัดพิเศษให้กับ Nicolas Vouilloz โดยเฉพาะจากนั้น Nicolas Vouilloz กว่าคว้าแชมป์ติดต่อกันถึง 10 สมัย ส่วนสาวชาวฝรั่งเศศ Anne Caroline นั้นทำไว้ถึง 12 สมัย

           และผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการอีกครั้งนั่นคือ หนุ่มลายสักชาวอเมริกัน Shaun Palmer จากทีม Smithfield ผู้กำชัยชนะอันดับ 2 ในรายการ World Champs ในปี 1996 ทีเมือง Cairns ประเทศออสเตรเลีย เขาใช้จักรยาน Intense M1 ที่ออกแบบโดยชายอเมริกันและที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือมันเป็น M1 ที่คาดลวดลายสไตล์ Troy Lee Desings แบบไม่เหมือนใคร และแน่นอนมันได้รับความสนใจมากมายจากเหล่าบรรดานักดิ่ง ไม่เพียงเฉพาะจักรยานเท่านั้น Shaun Palmer ยังมาพร้อมกับชุดแข่งแบบเดียวกัน จากนั้นชุดรัดรูปก็ถูกฝังลืมไป จากจุดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับกีฬาก็ถูกพัฒนาเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นระบบกันสะเทือน ดิสค์เบรค ยาง ทุกอย่างถูกออกแบบให้ใช้เฉพาะกับจักรยานดาวน์ฮิลล์ พร้อมกับเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมาย
          มากกว่า 10 ปี ที่เทคโนโลยีของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับกีฬานี้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นระบบกันสะเทือน จักรยาน ชุดแข่ง ทุกอย่างถูกพัฒนามาตามกาลเวลาก่อนที่นักแข่ง และความยากของสนามจะเกิดขึ้นเสียอีก จากเมื่อก่อนสนาม Schlandming และ Fort William เป็นอะไรที่ท้าท้ายนักแข่งสุด ๆ แต่วันนี้ก็กลายเป็นสนามมาตรฐานของรายการ World Cups ไปแล้ว ต้องขอบคุณ Steve Peat บุคคลซึ่งยืนหยัดเป็นสักขีพยานตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน


          ในปี 2002 Sam Hill ได้ทำให้ทั้งโลกต้องตะลึงกับความสามารถของเขา เขาได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขาและจักรยานดาวน์ฮิลล์ในยุคนี้สามารถข้ามผ่านขีดจำกัดที่เคยมีไปได้จริง ด้วยการคว้าแชมป์ทั้ง 2 รายการในปีเดียวกัน และมีชัยชนะที่ทิ้งห่างจากคู่แข่งแบบเหนือ ๆ 

          ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาจักรยานดาวน์ฮิลล์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Steve Peat เพราะเขาเริ่มชีวิตนักแข่งดาวน์ฮิลล์ตั้งแต่ยุค 90 จากวันนั้นจนถึงวันนี้เขายังคงเป็นนักแข่งที่ยังยืนอยู่บนแถวหน้าเสมอแม้อายุที่เพิ่มขึ้นก็ไม่อาจลดทอนความแข็งแกร่งของเขาลงได้ Steve Peat เปรียบเสมือนบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ยังคงโลดแล่น และกระหายชัยชนะในการแข่งขันอยู่ตลอด เขาใช้เวลาถึง 16 ปีต่อเนื่องยาวนานเพื่อคว้าแชมป์รายการ World Champs และเขาทำได้แล้วในวันนี้ ส่วน Shaun Palmer หนึ่งในผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ และเติมแต่งสีสันให้กับวงการนี้ หลังจากหยุดแข่งไปนานแสนนาน ในปีที่ผ่านมาเขาได้กลับมาลงแข่งอีกครั้ง และในปีนี้เขาจะมาแบบเต็มรูปแบบ และต่อไปจะมีอะไรคือความตื่นเต้นครั้งใหม่วงการ... คงต้องติดตามกันต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้อง:

>> การฝึกพื้นฐานการขี่รถดาวน์ฮิลล์


1 ก.ย. 2553

ดาวน์ฮิลล์ คอนเนอร์ : การเลือกซื้อโช๊คหน้าสำหรับคนชอบเบา ..แต่งบประมาณจำกัด

|0 ความคิดเห็น

สมมุติว่าถ้าเราประกอบรถดาวน์ฮิลล์ สักคันเมื่อมาถึงขั้นตอนการเลือกโช๊คหน้า หรืออากจะเปลี่ยนโช๊คหน้าใหม่ในกรณีของเก่าเราเบื่อ ล้าสมัย หรืออื่น ๆ อีกหลายร้อยเหตุผล (ก็คนมันจะเปลี่ยนใหม่) ถ้าเรามีงบประมาณจำกัดบวกับการตามกระแสรถเบาของ DH โลก จะเลือกอะไรดี ก็เลยจัดมาให้เพื่อน ๆ สำหรับโช๊คหน้าปี 2010 ของค่าย Big 3 (Fox, Marzocchi, Rockshox)


เอาข้อมูลในแบบราคาไทย ๆ โดยประมาณก็แล้วกัน ราคาจริงสอบถามกันเองที่ตัวแทนจำหน่าย

สำหรับเจ้า FOX 40 ปี 2010 ข้อมูล Specifications ไม่ได้เปลี่ยนจากปีที่แล้วมาก กระบอกโคตร 40 ม.ม. ว่ากันที่ตัว Top ให้มาครบทั้ง Low, High spedd compression และ Rebound กับสปริง Titanium ราคาแบบไทย ๆ ป้วนเปี้ยนแถว ๆ 4 หมื่น กับอะไหล่และบริการที่น่าเชื่อถือ น้ำหนักน่าลองที่ 3.09 ก.ก.








ตัวต่อมา Marzocchi 888 อันลือชื่อ จะหามาครอบครองได้คงต้องลงทุนสั่งมาเองผ่านเว็บไซต์ หรือลงทุนฝากคนหิ้วเข้ามา อย่าลืมสอบถามผู้ขายถึง Stem Direct ที่แถมมาให้ในกล่องด้วยนะครับ เพราะรุ่นนี้จะแถมมาให้เลย ซึ่งก็แถมมาตั้งแต่รุ่นแรกปี เอาเป็นว่าแถมทุกตัวแบบ After Market แต่สำหรับ Oem หรือแบบติดรถ ใหม่ถอดรถ ไม่มีให้นะครับ


สำหรับตัว 2010 ได้ตัดตัว ata หรือตัวลมออก ตัว Top เหลือเพียง สปริง Titanium เบาหวิว กับอ๊อพชั่นต่าง ๆ ที่เคยมีในปี 2009 มาให้หมด กระบอก 38 ม.ม. เคลือบนิลเกิลเงาวับ ราคาแบบไทย ๆ หิ้วมาก็น่าจะใกล้เคียง Fox40 ที่แถว ๆ 4 หมื่น กับความเสี่ยงเรื่องบริการอะไหล่แบบไม่มีตัวแทนจำหน่าย แต่ได้ความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร กับดีไซน์เฉพาะตัว และคอนเฟิร์มว่า ช่างไทย ซ่อมได้ แน่นอน กับน้ำหนักที่น่าสนกว่าที่ 2.99 ก.ก.

Boxer Race 2010 เพิ่งจะปรับปรุงใหม่เอี่ยม แบบ All New ในปีนี้เอง (ที่จริงมีขายตั้งแต่ปลายปี 2009) ขยายกระบอกจาก 30 ม.ม. เป็น 35 ม.ม. มีตัวแทนจำหน่าย ราคาแบบไทย ๆ ที่ 2.5 หมื่น สำหรับ Race


Spec ทั่วไปพอใช้งานได้ มีรีบาวน์และคอมเพลสไว้ให้ปรับได้พอสมควรต่อการใช้งาน แต่ที่ทำให้มันน่าสนในอยู่ที่ น้ำหนัก 2.862 ก.ก. และราคาที่เบากว่าข้างต้น แต่ก็มีเสียงบ่นว่า ตระกูล Boxer ไม่ค่อยจะเนียนสักเท่าไร ก็ขอบอกว่า ผู้ขี่ได้ Set ระยะ Seg ถูกต้องตามคู่มือหรือยัง ถ้าได้ 50 ม.ม. ตามคู่มือ ก็คงจะไม่ได้ยินเสียงบ่น หลาคนอาจสงสัยว่าทำไม ถึงนำตัว Race มาเปรียบเทียบกับพวกตัว Top ข้างต้นเนื่องจากเราต้องการตัวเลือกที่เหมาะสมกับการทำรถเบาในงบประมาณที่จำกัด จึงได้เลือกตัวเบาที่สุดของแต่ละค่าย ซึ่งตัวที่เบาสุดของ Fox 40 ต้องเป็นตัว Top Sping Titanium และเบาสุดของ Marzocchi ก็ต้องเป็นตัว Top sping titanium เช่นเดียวกัน แต่ตระกูล Boxer ตัว Top ที่เป็นระบบ Air ก็เบาสุดแต่ในที่นี้ได้นำตัว Race สปริงธรรมดา มาเปรียบ ซึ่งถือเป็นตัวต่ำสุดของ Boxer แต่มันกลับเบากว่าพวก Hi-end ทั้งหลาย ซึ่งส่วนต่าง ของราคาที่ต่างกัน 1 หมื่นขึ้นไป กับน้ำหนักตัวที่เบากว่า Fox และ Marzocchi มากกว่า 100 กรัม ถามคุณว่าน่าสนมั้ยล่ะ


นี่ก็เป็นแนวทางในการเลือกโช๊คหน้า สำหรับผู้ที่ต้องการทำรถเบาแต่งบประมาณมีจำกัด แต่ก็อีก ถ้าไม่จำกัดด้านงบประมาณก็เลือกได้ตามความชอบและพอใจของแต่ละคนได้เลย เพราะยังไงสุดท้ายแล้วคุณก็คือคนใช้ บางทีความพอใจก็มีมากกว่าราคา ซึ่งถ้าชอบอะไรก็ใช้อันนั้น แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่จะต้องไม่เดือดร้อน และที่สำคัญต้องปิดเป็นความลับไม่ให้ ผบ.ที่บ้านทราบได้ว่าซื้อมาเท่าไร เดี๋ยวพาลจักรยานจะทำให้เกิดปัญหาครอบครัวได้ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน...

บทความที่เกี่ยวข้อง:


>> การฝึกพื้นฐานการขี่รถดาวน์ฮิลล์



บทความจักรยานที่เกี่ยวข้อง